คลุกวงหุ้น : “เคจีไอ” คาดปี’63 ปัจจัยต่างประเทศเริ่มสดใส หวังพยุงหุ้นไทยฟื้นขึ้นตาม

นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการคลุกวงหุ้นว่า ภาพรวมตลาดหุ้นประจำสัปดาห์นี้ ประเมินว่า ขณะนี้หุ้นไทยเข้าใกล้โค้งสุดท้ายของปี 2562 มากที่สุด วันทำการที่เหลือในการซื้อขายหุ้นไทย น่าจะเป็นสถาบันในประเทศเป็นหลัก โดยในปี 2563 การซื้อกองทุนใหม่ เอสเอสเอฟ ที่มาทดแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ภายใต้เงื่อนไขใหม่ น่าจะมีปริมาณน้อยลง ทำให้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ น่าจะยังมีนักลงทุนเข้าซื้อกองทุนแอลทีเอฟ เพื่อเก็บสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนเดิมอยู่บ้าง ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศก็เงียบลงไปมาก เนื่องจากสถาบันส่วนใหญ่ในต่างประเทศ อยู่ในช่วงหยุดทำการเกือบทั้งหมด ทำให้ทิศทางเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไม่ได้มีน้ำหนักมากนักในตลาดหุ้นไทย

นายรักพงศ์กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปี 2563 บล.เคจีไอ ประเมินว่าหากมองในปี 2562 อาจจะไม่ใช่ปีที่ดีมากนักของตลาดหุ้นไทย แต่ในปี 2563 คาดว่าสถานการณ์ปัจจัยต่างประเทศต่างๆ เริ่มดีขึ้น ทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทย สามารถเกาะกระแสตลาดโลก และปรับตัวขึ้นได้บ้าง ในส่วนของปัจจัยที่ต้องติดตาม ปัจจัยหลักเป็นเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน (เทรดวอร์) ที่เริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ต่อจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศจะสามารถร่วมลงนามสัญญาการค้าระหว่างกันได้ โดยสิ่งที่สำคัญมากกว่านี้คือ น่าจะมีการเจรจาการค้าในเฟสถัดไป ช่วงไตรมาส 1 ต่อจากนี้ นอกจากนี้ ปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม เป็นเรื่องการเมือง ในส่วนของงบประมาณปี 2563 ที่คาดว่าจะออกมาได้ช่วงเดือนมกราคม 2563 รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ที่ต้องบอกว่าตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ยังไม่ได้ดีเท่าที่ควร โดยจะเห็นว่าทางด้านนักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ ได้ออกมาปรับลดประมาณการณ์การเติบโตของจีดีพี สอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ได้ออกมาปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 2563 ลงเช่นกัน จึงคาดว่าผลกระทบของเศรษฐกิจที่ชะลอการเติบโตน่าจะลดลงแล้ว

“ปัจจัยค่าเงินบาท มองว่ายังมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบในภาคการส่งออก แต่หากประเมินจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทย มองว่าค่าเงินบาทคงจะอ่อนค่าลงได้ยาก เนื่องจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับที่สูง รวมถึงปัจจัยสำคัญคือ ในปี 2563 มีโอกาสสูงมากที่ประเทศไทยจะถูกปรับอันดับความน่าเชื่อถือขึ้น จากที่ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่ง ได้ทยอยปรับเพิ่มระดับแนวโน้มอยู่ในเชิงบวกมากขึ้น สำหรับกลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ จากภาพรวมปัจจัยภายนอกที่แม้จะดูดีขึ้น แต่ปัจจัยภายในดูแล้วจะยังกลางๆ จึงแนะนำให้สะสมในหุ้นกลุ่มที่เชื่อมโยงกับปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ กลุ่มโรงกลั่น ปิโตรเคมี และอิเล็กทรอนิกส์”
นายรักพงศ์กล่าว

ส่วนหุ้นเด่นจะเป็นตัวไหน ต้องติดตามในรายการคลุกวงหุ้น!

Advertisement

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image