ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทย(ทีเอ็มบี) ประเมินว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ครั้งแรกของปี 2559 ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% หลังเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณบวกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงทางด้านลบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 มีแนวโน้มทยอยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาครัฐ ทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เร่งดำเนินการ โมเมนตัมของเศรษฐกิจไทยปีนี้จึงมีแนวโน้มเป็นบวก และจะได้รับแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะเริ่มมีการก่อสร้างในปีนี้ ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบราว 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะผลักดันให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวตาม ประกอบกับมาตรการเร่งรัดการลงทุนภาคเอกชน เช่น มาตรการเร่งรัดการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เมื่อรวมกับมาตรการซอฟท์โลนให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ที่ออกมาในช่วงก่อนหน้า จะช่วยให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมปรับตัวดีขึ้น ด้านการบริโภคภาคเอกชนก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ตามการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยจะต้องเผชิญความเสี่ยง ได้แก่ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการส่งออกของไทย ดังนั้น หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงมากกว่าคาด การส่งออกของไทยก็มีแนวโน้มจะหดตัวลงมากกว่าที่มีการประเมินไว้เช่นกัน อีกหนึ่งผลกระทบที่ตามมา ได้แก่ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ ดังนั้น เมื่ออุปสงค์จากจีนชะลอตัว ราคาก็ย่อมปรับลดลง และจะส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับลดลงตามไปด้วย รวมทั้งปัจจัยภัยแล้ง ซึ่งจะกดดันรายได้เกษตรกร และมีผลต่อการบริโภคภาคเอกชนด้วย ทั้งนี้ ความเสี่ยงจากการปรับลดลงของราคาน้ำมันเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะกระทบ ต่อทิศทางของอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากราคาน้ำมันมีผลกระทบโดยตรงต่ออัตราเงินเฟ้อ ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์มีแนวโน้มปรับขึ้นจากฐานราคาน้ำมันในระดับสูง ค่อยๆ ทยอยหมดไป แต่หากราคาน้ำมันปรับลดลงอีก อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบล่างของเป้าหมายของธปท.ที่ 1-4% และจะส่งผลให้ กนง. ไม่สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้