“คลัง” ยอม หั่นภาษีน้ำมันดีเซล 3 บาท 3 เดือน ช่วยปชช. สูญรายได้กว่า 1.7 หมื่นล้าน “อาคม” เผย กองทุนน้ำมันกำลัง ขาดสภาพคล่อง
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เห็นชอบมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ในอัตรา 3 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันเก็บที่ราคา 5.99 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งจะทำให้กรมสรรพสามิตสูญเสียรายได้รวม 1.7 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณเดือนละ 5,700 ล้านบาท ซึ่งขั้นตอนต่อไปกรมสรรพสามิตจะไปร่างประกาศ เพื่อออกเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
“การลดภาษีน้ำมันดีเซล 3 บาทต่อลิตร จะลดตามสัดส่วนความเข้มข้นของเนื้อน้ำมัน โดยได้กำหนดการลดภาษีถึงเดือน พฤษภาคม 2565 ตามการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะทยอยปรับลดลงในช่วงนั้น ซึ่งก็เป็นไปตามปัจจัยน้ำมันโลก และความเสี่ยงในเรื่องของรัสเซีย และยูเคนด้วย” นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวว่า ส่วนสาเหตุที่กระทรวงการคลังต้องลดภาษีน้ำมันดีเซล เพื่อพยุงราคาน้ำมันนั้น เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง แม้ว่าที่ผ่านมาครม.จะอนุมัติให้สามารถกู้เงินได้ 3 หมื่นล้านบาท แต่ขณะนี้ยังติดปัญหากู้เงินไม่ได้ เนื่องจากเรื่องงบการเงิน เพราะกองทุนได้เปลี่ยนสถานภาพจากนิติบุคคล เป็นองค์การมหาชน โดยคาดว่าจะสามารถกู้ได้ในเดือนมีนาคม 2565 และกองทุนยังต้องอุดหนุนทั้งเรื่องดีเซล และก๊าชหุงต้ม (แอลพีจี) ด้วย ทั้งนี้ กรณีที่กังวลเรื่องการสูญเสียรายได้จะมีผลต่อการปิดหีบงบประมาณนั้น มองว่าหากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น การจัดเก็บรายได้ก็จะกลับมา ส่วนจะมีผลต่อการปิดหีบรายได้ ในปีงบประมาณ 2565 หรือไม่นั้น จะต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำหรับมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน นั้น ไม่ได้เกิดจากแรงกดดันทางการเมือง เป็นเพียงการดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน เนื่องจากเกรงว่า เมื่อสินค้าราคาเพิ่มขึ้นไปแล้ว จะลดลงยาก เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงต้องช่วงตรึงราคาสินค้าต่างๆ
“ปัญหาน้ำมันคือ ความเดือนร้อนของประชาชน รัฐบาลก็มีความตั้งใจอยากมากที่จะดูแลพี่น้องประชาชน ประชาชนหลายคนคงทราบว่า ในขณะนี้ราคาน้ำมันโลกสูงมาก เนื่องจาก วิกฤติทางการเมือง ของ ยูเครน กับรัสเซีย ยุโรปซึ่งมาตรการนี้ มีแต่ลดผลกระทบและปัญหา เพียงแต่รายได้ทางภาษีน้ำมัน ของกรมสรรพสามิตอาจจะหายไปใน 3 เดือนที่มีมาตรการนี้ ซึ่งรัฐบาลคงต้องไปดูว่าจะมีทางชดเชยรายได้อย่างไร” นายสันติ กล่าว
