นายสมประวิณ มันประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี) ไทยในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ชะลอลงต่อเนื่อง สำหรับปีนี้ภาครัฐพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าจีดีพีขยายตัวราว 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหตุที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวชะลอลงนั้น หลายฝ่ายมองว่าเป็นผลมาจากการที่สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การลงทุนใหม่ที่น้อยลง และการส่งออกที่ขยายตัวต่ำ แต่สาเหตุที่แท้จริงแล้วมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยปรับเปลี่ยนไม่ทันกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ต้องเปลี่ยนจากการเน้นปริมาณมาเป็นคุณภาพ ซึ่งก็คือ การศึกษาและพัฒนานำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ แต่ขณะนี้การนำมาปฏิบัติจริงไม่ได้ผล ทำให้เกิดการผูกขาดตลาดและตัดราคา ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดและนำสินค้าคุณภาพมาแข่งขั้นไม่ได้
นายสมประวิณ กล่าวว่า การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่ม ประจำปี 2559-2560 พบว่า ไทยได้คะแนนการแข่งขันทุกด้านอยู่ที่ 4.6 คะแนนจาก คะแนนเต็ม 7 คะแนน โดยไทยยังได้คะแนนค่อนข้างต่ำในเรื่องการพัฒนานวัตกรรมที่ 3.4 คะแนน และการพัฒนาเชิงสถาบันที่ 3.7 คะแนน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศที่พัฒนาแล้วที่ได้คะแนนเฉลี่ย 4.6 และ 5.0 ตามลำดับ ดังนั้น ภายใต้บริบทใหม่ของเศรษฐกิจไทยการแก้ปัญหาภาครัฐต้องกำหนดบทบาทตนเอง โดยควรแทรกแซงเศรษฐกิจในระดับที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และควรปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบัน โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและสร้างแรงจูงใจในการพัฒนานวัตกรรม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจในระยะยาว
“ 4 เรื่องสำคัญ ที่ต้องเร่งดำเนินการ ได้แก่ 1. แข่งขัน ต้องมีการผลักดันกฎหมายการแข่งขันธุรกิจออกมา และตั้งหน่วยงานกลางในการดูแล เพื่อป้องกันการผู้ขาดทางธุรกิจและเปิดให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาแข่งขันได้ มองว่าขณะนี้ประเทศไทยติดกับดักตัวเอง ไม่ได้ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง 2.ของใหม่ ต้องสนับสนุนให้ผู้ประกอบการต้องคิดค้นและพัฒนาสินค้าใหม่ที่มีคุณภาพออกมาสู่ตลาด 3.เข้าถึงแหล่งเงินทุน ภาครัฐต้องสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ รวมทั้งการเข้าถึงรูปแบบใหม่ ๆ เช่น คลาวด์ฟันดิ้ง เวนเจอร์แคปปิตอล 4.รองรับ คือต้องมีกฎหมาย เช่น กฎหมายล้มละลาย รองรับการลองผิดลองถูกของธุรกิจและให้สามารถฟื้นตัวกลับมาดำเนินุรกิจใหม่ได้” นายสมประวิณกล่าว
