‘หมอมิ้ง’ ฉายภาพรัฐบาล เดินหน้าเต็มสูบ ทดแทน 10 ปีที่ ศก.หายไป

‘หมอมิ้ง’ ฉายภาพรัฐบาล
เดินหน้าเต็มสูบ
ทดแทน 10 ปีที่ ศก.หายไป

หมายเหตุนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ “มติชน” ถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง

⦁ ช่วยฉายภาพเศรษฐกิจวันนี้

“ต้องพิจารณาภาพใหญ่ว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหน ช่วงระยะยาว หากนับตั้งแต่ก่อนช่วงเกิดวิกฤตโควิด กราฟเศรษฐกิจไทยเริ่มไหลลง จากการติดตามทุกระยะไม่ใช่ดูแค่เป็นวันๆ หรือปีๆ แต่ดูต่อเนื่องแนวโน้มตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นเป็นอย่างไร

ADVERTISMENT

เส้นกราฟของไทยหลังจากเกิดโควิดปลายปี 2562 และเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบหนักสุดในปี 2563 ปรากฏว่าปี 2566 เศรษฐกิจไทยเพิ่งจะฟื้นกลับไปก่อนเกิดวิกฤตโควิด แต่ประเทศอื่นเศรษฐกิจฟื้นขึ้นก่อนเกิดโควิดเกือบจะหมดแล้ว

อ้างอิง ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ระบุว่า สมมุติถ้ามีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) เฉลี่ยอยู่ที่ 4% ซึ่งประเทศไทยมีการขยายตัวต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และต่ำกว่าโลกอยู่ที่ 16% นับเป็นปัญหาใหญ่มาก

ADVERTISMENT

หากดูเศรษฐกิจยังไปได้หรือไม่ จึงอยากวนกลับมาดูในเรื่องภาระหนี้ สะท้อนจากตัวเลขหนี้ต่อจีดีพีก่อนปีที่เกิดการทำรัฐประหาร (ปี 2555) หนี้ครัวเรือนไทยต่อจีดีพีเฉลี่ยอยู่ที่ 70% แต่ปัจจุบันพุ่งสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 90.7% ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าหนี้ที่เพิ่มขึ้น หรือสัดส่วนจำนวนหนี้ที่เพิ่มขึ้นนั้น ถูกนับเป็นเพียงตัวเลขหนี้ที่อยู่ในระบบเท่านั้น

จากปัญหาหนี้ในระบบ เมื่อนึกถึงประชาชนมีภาระหนี้สูงเกินกำลังจะชำระหนี้คืน ระยะถัดไปหากจะไปกู้หนี้ก็ไม่สามารถกู้ในระบบได้ เป็นความเสี่ยงที่ประชาชนก็จะวิ่งไปหาหนี้นอกระบบแทน รัฐบาลเองกำลังแก้ปัญหาหนี้นอกระบบด้วย

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแย่กว่าคาดการณ์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศภาวะทางเศรษฐกิจ และกำหนดเป้าหมายจีดีพีของประเทศไว้ แต่เมื่อมีการรายงานข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจจริง การขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และลดเป้าหมายมา 4 ไตรมาสติด เพราะเศรษฐกิจเริ่มมาตั้งแต่เรื่องโลกจากภาวะสงครามที่เกิดขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามระหว่างประเทศรัสเซีย-ยูเครน มีผลต่อเรื่องสินค้าและอาหารสัตว์ต่างๆ รวมถึงการขนส่งได้รับผลกระทบ อีกทั้งสงครามเศรษฐกิจระหว่างจีน-สหรัฐ ก็มีผลต่อเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมและส่งผลต่อไทย รวมถึงสงครามในอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ทุกเหตุการณ์มีผลต่อเศรษฐกิจทั้งสิ้น ทำให้การค้าและการขายในประเทศต่างๆ ซบเซาลง

โครงสร้างเศรษฐกิจแต่เดิมไทยพึ่งพิงเรื่องรายได้ต่างประเทศ ซึ่งให้ความสำคัญกับการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภายในประเทศน้อยกว่า 2 เครื่องยนต์หลักที่กล่าวมาข้างต้น

ย้อนไปรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนต่างกล่าวถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เรียกว่า “ดูโอแทร็ก” ให้ความสำคัญทั้งการนำรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการส่งเสริมรายได้ภายในประเทศ เช่น สนับสนุนให้มีกองทุนหมู่บ้าน โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอท็อป) โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (30 บาทรักษาทุกโรค) และเรื่องต่างๆ ที่เสริมสร้างศักยภาพ ภายใต้คำขวัญใหญ่ก็คือ ลดรายจ่าย สร้างรายได้ ขยายโอกาส

ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถคืนหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ก่อนกำหนด 2 ปี ณ วันนั้น ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 แต่มาวันนี้ก็เฉกเช่นเดียวกันไทยยังอยู่ในภาวะที่ประชาชนเดือดร้อน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญไม่ได้ดูที่ตัวเลขใหญ่ๆ

ดังนั้น คนที่ทำตัวเลขแล้วมาบอกว่าเศรษฐกิจดีคงไม่ใช่ ผมว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขฟ้อง ยืนยันจากสภาพัฒน์ จีดีพีต่ำกว่าเป้าหมาย จากไตรมาสสุดท้ายที่ 1.9% ปรับลดลง 1.5% ตัวเลขเศรษฐกิจตอนนี้คือของจริง ส่วนอื่นๆ ที่คิดว่าการบริโภคดีขึ้น แต่นึกออกไหมว่าหากรายได้ของคุณเพิ่มขึ้น 1.5% แต่รายจ่ายขึ้นไปที่ 8% ผมหมายความว่าคนต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้น

⦁ อัตราฆ่าตัวตายบ่งชี้ปัญหาเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน ตัวเลขอัตราการฆ่าตัวตายเป็นผลจากปัญหาเศรษฐกิจ ข้อมูลใบมรณบัตร จากกองยุทธศาสตร์และแผนงาน ของกระทรวงสาธารณสุข โดยกราฟการฆ่าตัวตายสำเร็จมีการไต่ขึ้นระดับสูงช่วงเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง อัตราการฆ่าตัวตายสูงขึ้นและหลังจากนั้นก็ลดลง และคงที่มาโดยตลอด ระยะถัดมาอัตราการฆ่าตัวตายก็เริ่มไต่ขึ้นอีกครั้งช่วงก่อนเกิดโควิด ขณะนี้สูงขึ้น

อัตราการฆ่าตัวตายบ่งชี้ปัญหาเศรษฐกิจ จากการศึกษาของนักระบาดวิทยาของต่างประเทศ ได้ศึกษารวบรวมข้อมูลจาก 172 ประเทศ ยาวนาน 27 ปี พบความเกี่ยวข้องกันชัดเจน ดังนี้ 1.ถ้ามีการตกงานเพิ่มขึ้น 1% อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 1% 2.ถ้าเลือกคิดเฉพาะกลุ่มอายุ 30-59 ปี อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มเป็น 2-3% และ 3.ถ้าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว เพิ่มขึ้น 1,000 เหรียญสหรัฐ การฆ่า
ตัวตาย ลดลง 2% ต่อปี

เรายังอยู่ในภาวะเศรษฐกิจวิกฤต คงไม่ต้องรอให้นักวิชาการหลายคนบอกว่าเศรษฐกิจต้องติดลบติดต่อกัน 2 เดือน จนถึงป่านนั้น คงทำงานไม่ทันแล้ว เพราะเมื่อเห็นแนวโน้มตัวเลขเศรษฐกิจสะท้อนออกมาแบบนี้ อันนี้เป็นปัญหาเศรษฐกิจโดยแท้

แถลงการณ์ของรัฐบาล หรือแม้แต่การหาเสียงของพรรคฝ่ายค้าน หรือการพูดในสภา ต่างบอกว่าไทยยังอยู่ในภาวะเศรษฐกิจวิกฤต แต่วันนี้จะมาค้านว่าไม่มีวิกฤต ก็อยากให้วนกลับไปดู ซึ่งเรารู้ว่าเศรษฐกิจวิกฤตจริง จึงเสนอมาตรการออกมาตั้งแต่ตอนหาเสียง เราไม่ได้เป็นนักพูดแต่เล่าทุกข์ แต่หาทางออกด้วย จึงเสนอมาตรการแก้ไขหลายเรื่องพร้อมๆ กัน

การแก้วิกฤตเศรษฐกิจต้องมีหลายมาตรการออกมาสนับสนุนพร้อมกัน หนึ่งในเรื่องที่คิดว่าจะต้องทำเพิ่ม คือการปรับโครงสร้าง โดยการเพิ่มเศรษฐกิจเข้าไปในประเทศ หรือการเพิ่มเม็ดเงินเข้าไปในระบบด้วย “มาตรการดิจิทัลวอลเล็ต”

⦁ ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นหนึ่งในปรัชญาใหญ่ของการแก้วิกฤต

หลายคนบอกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงิน แต่ความหมายของการแจก เพื่อยกระดับให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอย ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบ ไม่ใช้เพื่อการบริโภคอย่างเดียว สามารถยืนยันได้ เพราะในเงื่อนไขมาตรการก็ให้มีการลงทุนขนาดเล็กเกิดขึ้นได้

หลับตานึกดูหากในครอบครัวเกษตรกรหนึ่งมีสมาชิกอยู่ที่ 4 คน และเข้าเกณฑ์เงื่อนไขของมาตรการจะได้รับเงินรวม 40,000 บาท เงินจำนวนนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเกษตรกร สามารถเป็นต้นทุนที่นำไปต่อยอดธุรกิจหรือการทำการเกษตรต่อเนื่องได้

กลับมาที่คนในเมือง จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยศรีปทุม หากได้รับเงินตามมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะนำเงินไปทำอะไร จากกลุ่มตัวอย่างอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 15-23 ตุลาคม 2566 พบว่า 40.2% จะรวมเงินกับครอบครัว เช่น สร้างธุรกิจ สร้างบ้าน 15.54% จะรวมเงินภายในชุมชน เช่น ทำโครงการในชุมชน สร้างวิสาหกิจชุมชน และ 14.96% จะรวมกับเพื่อนหรือหุ้นส่วน เช่น สร้างธุรกิจ

มาตรการดิจิทัลวอลเล็ต จะใส่เงินเข้าไปในระบบให้กับประชาชนทุกคน มีเงื่อนไขไม่ให้ใช้เงินนอกแนว แล้วเก็บภาษีกลับคืนเศรษฐกิจได้ เพราะว่าเทคโนโลยีสามารถกำกับและสร้างเงื่อนไขได้ และสามารถสร้างเศรษฐกิจให้ประชาชนเป็นเครื่องจักรกลในการฟื้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ไม่ใช่เพื่อการบริโภคอย่างที่พยายามจะใส่เข้ามาให้เป็นในรูปแบบนั้น

แต่มาตรการรัฐบาลเป็นมาตรการรวม เมื่อเศรษฐกิจเกิดวิกฤต และมาตรการนี้เป็นตัวเดียว แต่เราจะดูทั้งระบบ ซึ่งจะดูอย่างไรนั้น ภายใต้ปรัชญาใหญ่ คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส

เรื่องแรกปัญหาสะสม การเจรจาการค้าหลังจากที่ประเทศไทยถูกรัฐประหาร ไม่สามารถทำการค้ากับประเทศอื่นได้ เพราะมีกฎหมายในประเทศกลุ่มยุโรปชัดเจนมาก โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐ จะไม่เจรจากับประเทศที่มีการรัฐประหาร ทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดชะงักไปช่วงหนึ่ง ซึ่งการค้าขายประเทศไทยพึ่งพิงการส่งออกจึงตกลงเรื่อยๆ จนทำให้ประเทศอื่นแย่งตลาดไปได้ สิ่งสำคัญของไทยจึงต้องฟื้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้

เพราะฉะนั้นการที่จะช่วยเรื่องแรกต้องลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะราคาพลังงาน ตั้งแต่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งแรก และต่อมาได้ทำมาตรการลดหนี้เกษตรกร โดยกลุ่มประชากรของเกษตรกรคิดเป็น 40% แต่ผลิตจีดีพีได้เพียง 8% ซึ่งการพักหนี้เกษตรกรไม่ใช่การแจกเงิน แต่รัฐบาลต้องการให้เกษตรกรฟื้นกำลังขึ้นมาผลิตสินค้าการเกษตรได้มากขึ้น

และจะนำเงินเข้ามาในเศรษฐกิจได้เร็วที่สุด โดยฟื้นการท่องเที่ยว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขยายการจัดการสนามบิน ให้วีซ่าฟรีกับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มมีศักยภาพ สร้างกิจกรรม หรืองานอีเวนต์ รวมมากกว่า 3,000 กิจกรรม ในแต่ละสถานที่จัดงานจะดึงดูดให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติมากขึ้น

⦁ ฮ่องกง-ญี่ปุ่นก็ประกาศแจกเงิน

ทั้งนี้ การทำมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลักษณะนี้ จะเรียกว่าเฮลิคอปเตอร์มันนี่ หรือการพิมพ์เงินจำนวนมากๆ ออกมาแจกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นที่สหรัฐ ล่าสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (ฮ่องกง) และญี่ปุ่น รัฐบาลมีการประกาศให้แจกเงิน ประเทศต่างๆ เหล่านี้เริ่มไปแล้ว เพราะทุกคนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ซึ่งเราจะเฉยๆ มันก็แปลก เพราะประเทศอื่นเขาตื่นตัวไปแล้ว และไม่รอให้เศรษฐกิจติดลบ

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องเร่งหาตลาดใหม่ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปต่างประเทศ และเจรจากับผู้นำมากกว่าหนึ่งประเทศที่รวมตัวกันอยู่ในประเทศดังกล่าว เร่งรัดการค้าขาย จากสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เชิญทูตของกระทรวงการต่างประเทศประจำอยู่ทั่วโลกมาประชุมร่วมกับทูตของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อรับนโยบายใหม่ต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นการทูตเชิงเศรษฐกิจและการทูตเชิงรุก

รวมถึงผนึกกำลังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สมทบกับภาคเอกชนเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้ทราบศักยภาพของประเทศ เช่น การเจรจาเรื่องเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) จะสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจ้างงานและผลิตของต่างๆ จนเพิ่มเป็นเม็ดเงินทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการดึงนักลงทุนใหม่ๆ เข้าประเทศ

ไทยต้องเร่งทำเพราะประเทศเพื่อนบ้านเดินหน้าไปเยอะแล้ว ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย โดยผู้นำจะเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนภายในประเทศที่ได้ผลดี หากเปรียบเทียบจากจีดีพีในไตรมาส 3/2566 ไทยอยู่ที่ 1.5% ซึ่งการเติบโตอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้คือฟิลิปปินส์ 5.9% เวียดนาม 5.3% อินโดนีเซีย 4.9% มาเลเซีย 3.3%

อย่างไรก็ตาม การเจรจาเริ่มเห็นผลจากแนวคิด Other People’s Money – OPM และได้เชิญชวนนักลงทุนเข้ามาในประเทศไทยและมีนักลงทุนเข้ามามากกว่า 1 ราย ด้วยเงินลงทุน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาว เพราะโรงงานเริ่มสร้างแล้ว เมื่อมีการตกลงแล้วเสร็จก็จะมีการทำธุรกิจต่อเนื่องไป

ขณะที่การแก้ไขปัญหาเกษตรกร รัฐบาลก็ได้ตัดสินใจหามาตรการที่ช่วยเหลือชั่วคราวไปก่อน เช่น อาจต้องออกมาตรการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว และช่วยปรับปรุงวิธีการผลิต จึงสนับสนุนให้เกิดแนวคิดตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องพัฒนาในเรื่องการหาตลาดส่งออก โดยจะปรับให้มีการทำอาหารแปรรูป หรืออาหารสำเร็จรูปส่งออกมากขึ้น

นอกจากนี้ ต้องเปลี่ยนประเทศให้ทันสมัย ต้องมีการผลักดันให้เป็นดิจิทัลอีโคโนมี โดยปกติแล้วดิจิทัลอีโคโนมีโตเป็น 4 เท่าของเศรษฐกิจทั่วไป รัฐบาลจึงมีการส่งเสริมเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีได้ไปพูดคุยกับนักลงทุนในต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี เช่น เทสลา อยู่ในช่วงขั้นตอนสุดท้ายของการตัดสินใจเข้ามาในประเทศไทย

ขณะเดียวกัน ก็มีเทคโนโลยีจากกูเกิล แอปเปิล ไมโครซอฟท์ ก็ได้พูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง โดยจะเข้ามาลงทุนในเรื่องของคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ในไทย อีกทั้งได้มีการพูดคุยกับหัวเว่ย เรื่องการลงทุนทำปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ในเร็วๆ นี้ จะมีการทำคณะกรรมการที่ดูแลเอไอโดยตรง เพราะแนวโน้มการใช้งานเอไอจะมากยิ่งขึ้น รวมถึงจะมีการผลิตทรัพยากรมนุษย์ให้มีทักษะเรื่องเทคโนโลยีดีมากยิ่งขึ้น

⦁ หลังมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตผ่าน นโยบายอื่นๆ จะตามมา

รัฐบาลทำงานได้ 3 เดือน แต่รู้สึกเหมือนทำงานมา 3 ปี เพราะรัฐบาลทำงานเร็ว แต่ก็มีข้อสงสัยบ้าง เพราะอธิบายไม่ทัน ซึ่งทำไม่เร็วไม่ได้ เพราะเราต้องเร่งทำงานให้ทันกับความถดถอยที่ผ่านมา หรือที่สะสมมาตลอดเกือบ 10 ปี ซึ่งก็พูดได้แบบตรงไปตรงมาจากตัวเลขที่สะท้อนออกมาชัดเจน และอย่าหลอกตัวเองเลยว่าเศรษฐกิจถดถอยไป 10 ปี ขณะนี้กำลังทำงานทดแทนกับ 10 ปีที่หายไป

การผลักดันในทุกมาตรการเพื่อตั้งเป้าให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ถึง 5% ต่อปี เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นค่าแรงต่างๆ มันก็ต้องชดเชยกัน ดูการศึกษาเอกสารงานวิจัยของอาจารย์ปกป้อง จันวิทย์ เมื่อปี 2554 ช่วงรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เขียนในเรื่องค่าแรงงานบอกว่า ณ วันนั้น ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตอยู่ได้พอดีอยู่ที่ 400 บาทต่อวัน ถ้ามีลูก 1 คน จะเพิ่มเป็น 500 บาทต่อวัน ถ้ามีลูก 2 คนก็จะคิดเป็น 600 บาทต่อวัน

แต่วันนี้ค่าแรงของไทยเฉลี่ยยังอยู่ที่ 335 บาทต่อวัน เพราะฉะนั้นต้องขยับค่าแรงให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ถามว่าทำอย่างไรแน่นอนที่สุด ก็ต้องขายของให้ได้และเพิ่มผลิตผล คือแรงงานที่เข้ามาอาจจะแลกด้วยงานและศักยภาพ ที่เพิ่มขึ้นในการผลิตผลที่เพิ่มขึ้น ต้องทำไปพร้อมกัน

ขณะนี้ กระทรวงแรงงานเตรียมหารือและขยับบางส่วนที่ไปได้แล้ว เพื่อให้รายได้เหมาะสมต่อค่าครองชีพในปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน ในส่วนของกลุ่มคนที่รับปริญญาจะใช้การขับเคลื่อนในฝั่งของข้าราชการ ขณะนี้กำลังทำแผนงานต่อเนื่อง เพราะไม่สามารถทำในนาทีสุดท้ายได้ เพราะฉะนั้นจะค่อยๆ ขยับอย่างมีแผนการในรอบ 4 ปี โดยมีการเจรจาและวางแผนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.)

ฉายภาพข้างหน้าสิ่งที่เกิดขึ้น หากดิจิทัลวอลเล็ตผ่านเข้าไป และนโยบายอื่นๆ จะเริ่มไหลเข้ามาเรื่องการปรับปรุงในภาคเกษตร เรื่องซอฟต์เพาเวอร์ การลงทุนจะมีเม็ดเงินเข้ามาในประเทศไทย

สิ่งสำคัญการปรับปรุงระบบรัฐบาล แก้ไขระบบรัฐบาลหรือกฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคโดยได้ตั้งให้ อ.ธงทอง จันทรางศุ เป็นประธานการปรับปรุงกฎหมายให้การทำให้ธุรกิจสะดวกขึ้น จากการประชุมต่อเนื่องจะมีการปรับกฎหมายในเรื่องของการขอใบอนุญาตทำธุรกิจที่เรียกว่า วันวินโดว์ วันฟอร์ม จากเดิมอาจจะเรียกว่าวันสต๊อปเซอร์วิส ซึ่งจะให้ผู้ขอเปิดธุรกิจใหม่สามารถกรอกแบบฟอร์มเดิมในครั้งเดียว โดยที่ไม่ต้องกรอกชุดข้อมูลเดียวกันแล้วไปยื่นเรื่องในหลายหน่วยงาน

เนื่องจากเดิมอุปสรรคของการเปิดธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร จะต้องใช้ใบอนุญาต 7-10 ใบอนุญาต ซึ่งจะปรับปรุงให้กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มเดียว และเทคโนโลยีอนุญาตให้ทำได้อยู่แล้ว โดยแพลตฟอร์มนี้จะใช้ได้ทั้งการลงทุนธุรกิจในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ

หน้าที่ของรัฐบาลคือแก้ปัญหา แต่ปัจจัยที่น่าห่วงคือภาวะกลไกและความเข้าใจต่อกัน เนื่องจากเราเข้ามาเปลี่ยน ต้องสร้างความเข้าใจให้มากขึ้น โดยเฉพาะภายในประเทศ เพราะเชื่อว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรามีความสามารถและเป็นประโยชน์ให้กับประเทศชาติร่วมกันได้ แต่แน่นอนที่สุด ความรู้ ความเข้าใจอาจต้องสื่อสารกันให้ดี ทั้งในภาครัฐบาล เอกชน และประชาชนที่ทำงานใกล้ชิดกัน

⦁ ย้ำเป้าหมาย GDP 5%

การตั้งเป้าใน 5 ปีจะต้องฟื้นจีดีพีเฉลี่ยใน 5% ต่อปีให้ได้ แต่ปีนี้เรามาสายเกินไป เสร็จแล้วในกระบวนการต่างๆ การลงทุนของภาครัฐไม่ทัน การใช้จ่ายภาครัฐ การเบิกจ่ายยังไม่ออก และการลงทุนของภาคเอกชนเริ่มถดถอยกว่าเดิม ดังนั้น กลไกทั้งหมดต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา และฝ่าอุปสรรคต่างๆ ให้ได้ เพื่อเป้าหมายจีดีพี 5% เชื่อว่าไปได้ ถ้าไม่เจอแรงเสียดทานเยอะ แต่ในปี 2567 ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ พ.ร.บ.งบประมาณ แต่มีปัญหาอีกหลายเรื่อง

แพคเกจการกระตุ้นเศรษฐกิจมีอยู่แล้ว และคิดว่าหลายส่วนกำลังเตรียมการกันอยู่ แต่เรามาช้าไปหน่อยแล้ว เพราะกว่าจะเข้ามาเป็นรัฐบาลทุกอย่างก็ถูกล็อกตายหมด ปี 2567 เมื่อตัดสินงบประมาณ
แผ่นดินกว่าจะออกได้จริงๆ คือช่วงพฤษภาคม 2567 และเริ่มสตาร์ตปี 2568 ทันที ดังนั้น กำลังเร่งงานกันอยู่เพราะด้วยกระบวนการและข้อกฎหมายที่มีอยู่ก็เป็นข้อจำกัด

สำหรับสิ่งที่สำคัญจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการคมนาคม จากสมัยก่อนไทยมีรายได้ 2 ล้านล้านบาท รัฐบาลต้องเร่งรัดการสร้างเส้นทางคมนาคม ขณะนี้อยู่ในแผนแล้ว เช่น สปป.ลาว เส้นทางรถไฟมาจอดอยู่ที่เวียงจันทน์ ไทยพยายามจะเชื่อมเส้นทางจากเวียงจันทน์ลงมาถึงที่หนองคายและโคราช ด้านเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) เชื่อม 3 จังหวัด ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา หากมีการขยายต่อไปที่สระแก้ว ทะลุเข้าไปที่ประเทศกัมพูชา และต่อไปถึงเวียดนามได้ หากเป็นไปตามแผนนี้ ไทยก็จะมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์เชื่อมเศรษฐกิจอาเซียนร่วมกัน

และปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยจะเป็นจุดเข้มแข็งได้ คือ ความเข้มแข็งทางภูมิศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งไทยเดินนโยบายที่ไม่เป็นศัตรูกับประเทศไหนเลย ทำให้นักลงทุนต่างๆ ให้ความสนใจใน 2 จุดนี้ เราต้องทำให้เป็นประโยชน์ และขจัดข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ทำหน่วยราชการให้เป็นการทำงานแบบเชิงรุก ปัจจัย 3 ตัวสุดท้ายที่จะเป็นจุดแข็งของประเทศไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image