“ทีเมค”เลือกลงทุนไทย เชื่อมือรบ.ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นายสเตฟาโน โพลี ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีเมค เอเชีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายมอเตอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมและอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเครื่องแปลงพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างโตชิบาและมิตซูบิชิ อิเล็กทริค เปิดเผยว่า ช่วงปลายปี 2558 บริษัท ทีเมค เอเชีย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในประเทศสิงคโปร์ ได้ตั้งบริษัทย่อยในไทย คือ บริษัท ทีเมค เอเชีย(ประเทศไทย) จำกัด ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยการเปิดบริษัทครั้งนี้ถือเป็นการขยายธุรกิจเป็นประเทศที่ 11 และเป็นแห่งที่ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากต้นปี 2558 ได้ตั้งบริษัทย่อยในประเทศอินโดนีเซียไปก่อนหน้าแล้ว โดยการตั้งบริษัทในไทยครั้งนี้ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) หลังจากมียุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ สนับสนุนให้บริษัทต่างชาติตั้งสำนักงานในไทยมากขึ้น ซึ่งบริษัท ทีเมค เอเชีย(ประเทศไทย) จะเริ่มดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการในไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป

นายโพลีกล่าวว่า สาเหตุที่ตัดสินใจเลือกลงทุนในประเทศไทย เพราะมองเห็นโอกาสการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่มีมูลค่าสูง และมีการเติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีการขับเคลื่อนจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน นอกจากนี้บริษัทยังมองเห็นโอกาสของธุรกิจพลังงาน โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์ ที่รัฐบาลไทยให้การสนับสนุน โดยมีการกำหนดแผนกำลังผลิตโซลาร์เซลล์ 20 ปี ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า(พีดีพี) ตั้งแต่ปี 2558-2579 ไว้ชัดเจนคือ 6,000 เมกะวัตต์ แต่ปัจจุบันพบว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ มีการชะลอโครงการโซลาร์ในพื้นที่ลานกว้าง หรือโซลาร์ฟาร์มออกไปก่อน เพื่อรอความชัดเจนในการกำหนดพื้นที่ลงทุนจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ดังนั้นเวลานี้ธุรกิจดังกล่าวจึงซบเซา แต่เชื่อว่าระยะยาวที่มีการกำหนดแผนชัดเจนแล้ว จะส่งผลดีต่อธุรกิจพลังงานทดแทน

“จากการลงทุนด้วยการตั้งสำนักงานย่อยในไทย ซึ่งเป็นสำนักงานแห่งที่ 3 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เชื่อว่าภายในปี 2560 สำนักงานทั้ง 3 ประเทศจะสามารถสร้างยอดขายรวมให้กับบริษัทไม่ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,500-3,600 ล้านบาท จำนวนนี้น่าจะเป็นรายได้รวมจากไทยในปี 2560 ประมาณ 10-20% หรือประมาณ 350-700 ล้านบาท และเมื่อรวมกับยอดขายที่มีในประเทศอื่นทั่วโลก จะทำให้บริษัทยังคงเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจมอเตอร์ในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนเครื่องแปลงพลังงานโซลาร์เซลล์ของโลกต่อไป” นายโพลีกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image