รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม เกิดเหตุสายการบินแอโรฟลอต ของรัสเซีย เส้นทางมอสโคว์-กรุงเทพฯ ให้บริการด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 777 ตกหลุมอากาศที่ประเทศพม่า จนส่งผลให้มีผู้โดยสารบาดเจ็บหลายคน
นายศิโรตม์ ดวงรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยว่า เครื่องบินดังกล่าวเป็นเที่ยวบินที่เอสยู 270 ให้บริการในเส้นทางทางมอสโคว์-สุวรรณภูมิ เป็นเที่ยวบินประจำ มีผู้โดยสารทั้งหมด 318 คน ลูกเรืออีก 14 คน โดยระหว่างที่บินเข้าสู่น่านฟ้าประเทศพม่า เครื่องบินได้ตกหลุมอากาศ จนส่งผลให้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 30 คน ทางกัปตันบนเครื่องบินจึงได้ประสานมายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานปลายทางให้ทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลา 08.05 น. และลงจอดในเวลา 08.20 น.
นายศิโรตม์ กล่าวว่า ภายหลังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ประสานไปยังโรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์เพื่อนำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไปรักษาตัว ซึ่งภายหลังเครื่องบินลงจอดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปปฐมพยาบาลในเบื้องต้น ก่อนพิจารณาลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดไปที่โรงพยาบาล ซึ่งก็จะต้องพิจารณาด้วยว่าคนไหนจะต้องขนย้ายไปด้วยวิธีใด เช่น บางคนอาจจะต้องใช้แปล เป็นต้น
นายศิโรตม์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้ปล่อยให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว 3 คนในช่วงเช้าของวันเดียวกัน ส่วนที่เหลือก็อยู่ระหว่างการรักษาที่โรงพยาบาล คาดว่าจะไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็อาจจะมีแขนหรือขาหักอยู่ เพราะเป็นการตกหลุมอากาศที่ดูแล้วจะรุนแรง ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทางสายการบินจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นการหลุมอากาศ ตัวเครื่องบินจะไม่ได้รับผลกระทบ จะได้รับผลกระทบเฉพาะผู้โดยสาร ที่อาจจะลอยขึ้นไปกระแทกสิ่งของต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นกรณีที่ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งตอนนี้ก็กำลังดูอยู่ว่าสาเหตุที่บาดเจ็บมากขนาดนี้เป็นอย่างไร เกิดเพราะกัปตันสั่งแล้วไม่คาด หรือคาดไม่ทัน หรืออย่างไร ”นายศิโรตม์ กล่าวและว่า สำหรับผู้โดยสารที่เหลือ ซึ่งไม่ได้รับบาดเจ็บก็เดินทางไปท่องเที่ยวในไทยตามปกติ
