“สมคิด”มั่นใจจีดีพีโตเกิน 4% ห่วงปรับไม่ทันดิจิทัลแนะเร่งปรับตัว

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในงาน มหกรรมการเงิน (มันนี่เอ็กซ์โป) ครั้งที่ 18 ระหว่างวันที่ 10-13 พฤษภาคม ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งรัฐบาลพยายามทำให้การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ดำเนินไปอย่างดีที่สุด ขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจไทยดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่ดีที่สุด เพราะการบริหารประเทศไทยยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่ามีข้อจำกัดจึงต้องเร่งทำงาน และช่วยกันเพื่อปูพื้นฐานประเทศไปสู่อนาคต ซึ่งจะเห็นได้ว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี) ไทยเติบโตต่อเนื่อง

นายสมคิด กล่าวว่า ปี 2561 จะเห็นจีดีพีเกิน 4% ถือเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ และจะเป็นกำลังใจให้ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า โดยดัชนีความเชื่อมั่นต่าง ๆ เป็นบวก ทั้งการบริโภค การลงทุน ด้านตลาดหุ้นแม้จะตกลงมาเล็กน้อย แต่เป็นเช่นเดียวกับทั่วโลก “ไทยยังได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ มีแขกมาหารือหัวกระไดไม่แห้ง และสัปดาห์หน้าจะมีตัวแทนผู้นำรัฐบาลจาก มาเก๊า ฮ่องกง เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ เข้ามาพบ ดังนั้น ถือเป็นโอกาสของไทยถ้ารวมพลังเปลี่ยนโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคตข้างหน้าได้”

นายสมคิด กล่าวว่า แม้จีดีพีจะเติบโตเกิน 4% แต่ยังมีความท้าทาย จากภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้ง ความสามารถในการแข่งขันในประเทศที่ยอมรับว่าอ่อนแอลง แต่รัฐบาลพยายามพลิกพื้นด้วยไทยแลนด์ 4.0 “เรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นเรื่องที่ผมกังวลมากสุด เพราะที่ผ่านมาเราไม่ค่อยให้ความสำคัญเทคโนโลยี ส่วนใหญ่ยังเป็นอนาล็อก แต่ในอนาคตโลกดิจิทัลจะเปลี่ยนพฤิตกรรม ทั้งการบริโภค การจับจ่าย กระทบภาคการผลิต และจะเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ ถ้าใครไม่เปลี่ยนจะลำบาก” นายสมคิดกล่าวว่า รัฐบาลรู้เรื่องนี้จึงเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อสร้างความตื่นตัวตระเตรียมสู่อนาคต โดยสิ่งที่ให้ความสำคัญคือเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะภาคการเงินที่ช่วยผลักดันการขยายตัวเศรษฐกิจ แต่ความท้าทาย ทั้งคนเดินเข้าธนาคารลดลง การจับจ่ายบนออนไลน์ผ่านมือถือ เดิมธุรกิจประกันมีคณิตศาสตร์ประกันในการคิดเบี้ยประกัน แต่สมัยนี้ใช้ปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) และข้อมูลลูกค้าในการคำนวณ ด้านตลาดหุ้น เดิมต้องอาศัยโบรกเกอร์รายใหญ่เป็นตัวนำการลงทุน แต่ในอนาคตสามารถใช้เอไอในการช่วยตัดสินใจลงทุนได้ การใช้เงินสดกำลังจะลดลง และเทคโนโลยีบล็อกเชนที่กำลังจะมา เหล่านี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบซึ่งรัฐบาลตระหนักและต้องการส่งเสริม ทั้งนี้ในส่วนฝ่ายกำกับและตรวจสอบของรัฐต้องตามให้ทัน เพราะเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่ปิดกั้น และต้องดูแลเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ส่วนเอกชนต้องเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าเอกชนมีการพัฒนาไปไกลมากแล้ว รวมทั้ง ด้านบิ๊กดาต้าที่เข้ามาภาครัฐกำลังเร่งพัฒนาเพื่อนำมาเชื่อมโยงกับระบบของเอกชนพัฒนาเป็นระบบเปิดนำข้อมูลมาพัฒนาใช้ประโยชน์ในทุก ๆ ด้านต่อไป

นอกจากนี้ นายสมคิดยังได้กล่าวถึงการเลือกตั้งที่ประเทศมาเลเซีย ว่าผลที่ออกมานั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ ในส่วนเรื่องสถานการณ์ความรุนแรงและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์(จีโอโพลิติก) กับประเทศไทยนั้นไม่ต้องกังวล เพราะไทยกับมาเลเซียเป็นมิตรสหายกันมานาน เชื่อว่าความสัมพันธ์จะยังดีต่อไป

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image