ที่มา | เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ |
จากที่จังหวัดขอนแก่นเป็นแหล่งผลิตพืชผักที่มีศักยภาพ โดยมีพื้นที่ปลูกกว่า 53,370 ไร่ แต่เนื่องจากเกษตรกรปลูกผักในพื้นที่เดิมตลอดปี ทำให้มีปัญหาแมลงศัตรูระบาด โดยเฉพาะในพืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ คะน้า กวางตุ้ง ผักกาดขาวปลี และกะหล่ำปลี ซึ่งพบแมลงศัตรูที่ระบาด ได้แก่ ด้วงหมัดผัก หนอนใยผัก หนอนกระทู้หอม และหนอนกระทู้ผัก เป็นต้น ส่งผลทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีป้องกันกำจัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีสารเคมีตกค้างในผลผลิตและไม่สามารถควบคุมแมลงได้ โดยเฉพาะด้วงหมัดผักแถบลาย (Phyllotreta sinuata Step.) และด้วงหมัดผักสีน้ำเงิน (P. chontalica) ซึ่งระบาดรุนแรงในแหล่งผลิตคะน้าหลายพื้นที่ และสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตของเกษตรกรเป็นอย่างมาก
คุณสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า จากปัญหาดังกล่าว กรมวิชาการเกษตรจึงมอบหมายให้สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 3 ร่วมกับสำนักวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เร่งทดสอบเทคโนโลยีการป้องกันกำจัดด้วงหมัดผักของคะน้า โดยใช้ไส้เดือนฝอยกำจัดแมลงสายพันธุ์ไทย (Steinernema sp. Thai strain) ซึ่งเป็นปรสิตของแมลงที่ทำให้แมลงตายได้ ภายในเวลา 48 ชั่วโมง
“เบื้องต้นได้จัดอบรมและถ่ายทอดความรู้วิธีการใช้ไส้เดือนฝอยควบคุมด้วงหมัดผักอย่างมีประสิทธิภาพให้แก่เกษตรกร นำร่องพื้นที่ตำบลโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ด้วยการใช้ไส้เดือนฝอยสายพันธุ์ไทยสลับกับการใช้สารสะเดาแล้วสุ่มตรวจนับแมลงทุกครั้งหลังการพ่นไส้เดือนฝอย 3 วัน พบว่า จำนวนด้วงหมัดผักสีน้ำเงินลดลง 46-75% ส่วนด้วงหมัดผักแถบลาย ลดลง 29-85% และหลังการพ่นไส้เดือนฝอย จำนวน 3 ครั้ง ตรวจพบด้วงหมัดผัก แต่ละชนิด เฉลี่ยไม่เกิน 0.2 ตัว ต่อตารางเมตร และไม่พบสารตกค้างในคะน้า”
“ขณะที่กรรมวิธีเดิมของเกษตรกรที่ใช้สารคลอไพริฟอสผสมไซเปอร์เมทรินฉีดพ่น 2 ครั้ง สามารถลดประชากรด้วงหมัดผักได้ 100% แต่ศัตรูพืชกลับเพิ่มปริมาณขึ้นมาได้ภายในเวลา 3 วัน หลังการพ่น โดยสำรวจพบด้วงหมัดผัก เฉลี่ย 0.3-2.3 ตัว ต่อตารางเมตร ทั้งยังตรวจพบสารคลอไพริฟอสตกค้างในคะน้า ปริมาณ 0.02 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม”
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว จากผลการทดสอบดังกล่าว ทำให้ทราบว่า การใช้ไส้เดือนฝอยกำจัดด้วงหมัดผัก เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพและนำไปใช้ได้จริงในระดับแปลงเกษตรกร แต่ต้องใช้ในเวลาที่เหมาะสม และมีการปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเจริญของไส้เดือนฝอย เช่น ใช้หัวเชื้อขยายคุณภาพดี ทำให้ดินชื้นก่อนพ่นไส้เดือนฝอย และพ่นไส้เดือนฝอยในตอนเย็น เป็นต้น
ด้าน คุณดิเรก ตนพยอม รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปี 2558 ที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตร ได้ขยายผลการจัดฝึกอบรมการผลิตไส้เดือนฝอยพันธุ์ไทยกำจัดแมลง เพื่อให้เกษตรกรสามารถเพาะเลี้ยงไส้เดือนฝอยสายพันธุ์ไทยไว้ใช้เองได้ โดยได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์หม้อนึ่ง วัสดุผลิต ตลอดจนหัวเชื้อไส้เดือนฝอยจากโครงการพัฒนาชุดผลิตไส้เดือนฝอยกำจัดแมลงพร้อมใช้เพื่อขยายผลสู่เกษตรกรทำใช้เอง รวมทั้งคำแนะนำทางวิชาการจากผู้เชี่ยวชาญของกรมวิชาการเกษตร คือ ดร. นุชนารถ ตั้งจิตสมคิด ทำให้เกษตรกรได้เรียนรู้หลักการผลิตและใช้ไส้เดือนฝอยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมกว่า 200 ราย

ปัจจุบัน สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 3 ได้เร่งขยายผลต่อยอดโครงการพัฒนาต้นแบบการผลิตผักปลอดภัยเพื่อการค้าในสภาพแปลงใหญ่ เพื่อสร้างแปลงต้นแบบนำร่องการผลิตพืชปลอดภัยเชิงการค้าในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน พร้อมเชื่อมโยงกลุ่มผู้ผลิตและตลาดสินค้าพืชปลอดภัยในพื้นที่ดังกล่าว โดยเน้นใช้เทคโนโลยีจากผลการวิจัยของกรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานต่างๆ เช่น ปุ๋ยหมักเติมอากาศ การใช้ชีวินทรีย์ และสารธรรมชาติเพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืช รวมทั้งวางแผนการผลิตให้มีชนิดและปริมาณผลผลิตสอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีการควบคุมคุณภาพผลผลิต จัดการหลังการเก็บเกี่ยวอย่างเหมาะสม คัดบรรจุตามมาตรฐาน การขนส่งที่ทันเวลา และสร้างเครือข่ายการผลิตและการตลาดด้วย
“กรมวิชาการเกษตร ได้คัดเลือกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตผักปลอดภัยบ้านโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด เป็นแปลงต้นแบบนำร่อง จากนั้นจะเร่งถ่ายทอดความรู้และเทคนิคในการผลิตผักคุณภาพและมีความปลอดภัยตามมาตรฐานกรมวิชาการเกษตร ได้แก่ การผลิตดูแลรักษา การบริหารจัดการเก็บเกี่ยว การตัดแต่ง การล้าง และการคัดบรรจุ พร้อมแนะนำส่งเสริมให้วางแผนการผลิตให้มีชนิดพืช ปริมาณ และคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดในเวลาที่เหมาะสม”
“นอกจากนั้น ยังคัดเลือกตลาด (ผู้รับซื้อ) และแหล่งจำหน่ายผลผลิตผักปลอดภัยเพื่อร่วมโครงการ และส่งเสริมการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือระหว่างตลาดสินค้าปลอดภัยและเกษตรกรในโครงการด้วย ซึ่งคาดว่า จะทำให้เกษตรกรเห็นความสำคัญของระบบการผลิตตามมาตรฐาน จีเอพี (GAP) และเกษตรอินทรีย์ ทั้งยังมีผลผลิตพืชที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ต่อหน่วยผลผลิตสูงขึ้น มีตลาดรองรับผลผลิตแน่นอนและจำหน่ายได้ราคาที่เป็นธรรม และลดความเสี่ยงในการประกอบอาชีพได้” รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวในที่สุด