ศิษย์หลวงตามหาบัว ประกาศคว่ำบาตร นายกฯ เหตปิดกั้นวิทยุเสียงธรรม

เมื่อวันที่ 20 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา สงฆ์จากจตุรทิศ ณ สวนแสงธรรม มีมติเรื่อง คณะสงฆ์กรรมฐานมีมติไม่ไว้วางใจ ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการปฏิบัติต่อสถาบันพระพุทธศาสนา ใจความว่า “ตามที่พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เมตตารับเครือข่ายวิทยุเสียงธรรมที่ก่อตั้งจากความเสียสละของพระสงฆ์และประชาชนในแต่ละพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 เป็นต้นมา ครั้นพ่อแม่ครูอาจารย์ฯ ละขันธ์เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานเมื่อต้นปี 2554 พื้นที่กระจายเสียงซึ่งเป็น “มรดกธรรม” เหล่านี้ย่อมตกเป็น “สมบัติของสงฆ์” ในพระพุทธศาสนา เพื่อเผยแผ่ธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ตั้งแต่วันที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้เข้ามาปกครองบ้านเมือง สิ่งที่แถลงต่อสาธารณชนว่าจะปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปสื่อ ปฏิรูปพระพุทธศาสนา กับความจริงที่เกิดขึ้นเฉพาะกรณี “วิทยุเสียงธรรมหลวงตาฯ” นั้น ถึงวันนี้คณะศิษย์ฯ ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ต่างก็ประจักษ์ด้วยสายตาตนเองอย่างชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันเป็น “รัฐบาลทุศีลในระดับชาติ” หลายข้อ เริ่มต้นด้วยการกล่าว “มุสาวาทา” ไม่ทำตามที่พูดแล้วก้าวเข้าทำ “อทินนาทานา” ด้วยการเข้าปล้นพื้นที่กระจายเสียง “มรดกธรรมหลวงตา” ให้ถึงแก่ความวิบัติ

ในทางกลับกัน รัฐบาลเลือกปฏิบัติคุ้มครองเฉพาะ “วิทยุกลุ่มทุน” ซึ่งหากินกับรัฐจากการผูกขาดสัมปทานวิทยุของรัฐ โดยปล่อยให้ออกอากาศได้ตามปกติทั้งที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตใดๆ จาก กทช. มาก่อนและยังปล่อยให้ใช้กำลังส่งและความสูงเสาเกินกว่าที่เคยจดทะเบียนไว้กับกรมไปรษณีย์โทรเลขได้อีกด้วย ด้วยความอยุติธรรมเช่นนี้ ประชาชนผู้รับฟังธรรมะหลวงตาฯ ในแต่ละภูมิภาคที่ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก จึงพากันร้องทุกข์มายังคณะสงฆ์กรรมฐาน แม้สงฆ์และมูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชนฯ จะเพียรพยายามทำหนังสือร้องขอไปยังหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีไม่น้อยกว่า 50 ฉบับ แต่จนกระทั่งบัดนี้สถานีเครือข่ายที่ถูกปิดก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้กลับมาออกอากาศได้แม้คลื่นความถี่ในที่นั้นๆ จะว่างอยู่ก็ตาม

ด้วยเหตุผลความจริงที่กล่าวมาทั้งหมด คณะสงฆ์จากจตุรทิศมีมติเห็นเป็นเอกฉันท์ดังนี้

1. พล.อ.ประยุทธ์ มีตำแหน่งหน้าที่ ในบ้านเมืองที่มีอำนาจอย่างเต็มที่และยังใช้เพื่อสิ่งอื่นได้มากมาย หากแต่ในกรณีนี้กลับเพิกเฉย ไม่เคยคิดจะนำมาใช้กับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาผ่านสื่อวิทยุแต่ ประหนึ่งว่าไม่ประสงค์ให้ประชาชนได้ยินได้ฟังเสียงธรรมในพระพุทธศาสนาฉะนั้น จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า หาความจริงใจมิได้ ไม่มีแม้แต่การติดตามผล แล้วยังมีเจตนาหลีกเลี่ยงหลบหนีอยู่ตลอดเวลา แม้คณะสงฆ์ และคณะศิษย์ฯ จะร้องทุกข์เพียงใดก็ไม่ใส่ ใจและไม่ให้ความสำคัญ สงฆ์จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่ไว้วางใจในตัวพล.อ.ประยุทธ์ ในการปฏิบัติต่อสถาบันพระพุทธศาสนา เข้าลักษณะของ “บุคคลทุศีล” จากการ “เสียสัตย์”

Advertisement

2. พ่อแม่ครูอาจารย์ฯ เมตตาแสดงธรรมไว้เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2548 ว่า “ศาสนาไม่ควรที่จะถูกเบียดเบียนอย่างนี้ ควรจะได้รับการส่งเสริมจากคนผู้มีหัวใจเป็นธรรม ที่มันกีดกันนี้ก็คือว่า หัวใจไม่เป็นธรรมนั่นแหละมันเป็นอยู่เวลานี้ ”ในเบื้องต้นสงฆ์มีมติเห็นสมควรอาจจะลงนิคหกรรม “คว่ำบาตร” แก่พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งการปิดกั้นทำลาย “วิทยุเสียงธรรมหลวงตาฯ” ทั้งทางตรงและทางอ้อมดังที่ได้กล่าวมาแล้วโดยลำดับ

3. สงฆ์เห็นชอบให้นำมตินี้แจ้งอย่างเป็นทางการต่อบุคคลสำคัญของชาติในแต่ละสายที่มีความรักเทิดทูนในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านทั้งหลายจักได้ช่วยกันอบรมตักเตือน รวมทั้งพิจารณา และวินิจฉัยถึงความประพฤติและการปฏิบัติหน้าที่ของพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาติบ้านเมือง

4. สงฆ์มีมติให้แจ้งเป็นที่สุดว่า มติสงฆ์นี้ มิได้กระทำไปด้วยอคติ 4 หากแต่สงฆ์มีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้า ที่จะพิทักษ์ปกป้องมหาชนผู้สนใจใฝ่ธรรมอย่างสุดกำลังความสามารถ เขาเหล่านั้นสมควรได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตจากการรับฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อมรรคผลนิพพาน แก่มหาชนทั้งหลายเหล่านั้น จึงถือเป็นความจำเป็นที่ต้องออกมติสงฆ์ในครั้งนี้”

Advertisement

คว่ำบาตร1

คว่ำบาตร2

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image