ที่มา | คอลัมน์ รายงานพิเศษ |
---|---|
ผู้เขียน | เบญจมาศ เกกินะ |
เป็นเรื่องขึ้นมาอีกจนได้ กับกรณีความขัดแย้งระหว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และ ผู้อำนวยการโรงเรียน กับ ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) นำมาสู่ปัญหาผู้อำนวยการ
สพท. งัดข้อ และ ปฏิเสธ การร่วมงานกับ ศธจ.ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2560!!
แม้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แก้ไขคำสั่ง คสช.ที่ 19/2560 ที่ให้โอนการใช้อำนาจการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัด และกรุงเทพฯ ตามมาตรา 53 (3)(4) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นของ ศธจ.โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ไปเมื่อเดือนมกราคม 2561
โดยคืนอำนาจตามมาตรา 53(3) และ (4) ให้แก่ผู้อำนวยการ สพท.และผู้อำนวยการโรงเรียน โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารงานบุคคล ให้ ศธจ.เป็นผู้แทน ศธ.ทำหน้าที่ประสานงาน บูรณาการการศึกษาในระดับจังหวัด โดยจะตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด คือ คณะกรรมการบูรณาการด้านการศึกษา และคณะกรรมการการบริหารงานบุคคล ทั้ง 2 ชุด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และ ศธจ.เป็นเลขานุการ สำหรับคณะกรรมการบริหารงานบุคคลจะมีผู้อำนวยการ สพท.ในจังหวัดทุกคนร่วมเป็นกรรมการ พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีสัดส่วนเท่ากับผู้อำนวยการ สพท.และผู้แทนจากส่วนต่างๆ
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการ สพท.เป็นผู้ใช้อำนาจตามมาตรา 53(3) ตามที่ กศจ.อนุมัติ ขณะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้ใช้อำนาจตามมาตรา 53(4) ตามที่ กศจ.อนุมัติ ส่วน ศธจ.ทำหน้าที่เลขานุการ กศจ.
ซึ่งเป็นทางออกที่เป็นความเห็นร่วมกันของทั้งฝ่าย สพท.และ ศธจ.
สุดท้ายก็เหลว ทั้งที่คณะกรรมการกฤษฎีกา และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เรียก ศธ.เข้าชี้แจงหลายครั้ง ขณะที่ ศธ.ดึงคำสั่ง คสช.กลับมาแก้ไขตามที่กฤษฎีกาเสนอแนะไม่ต่ำกว่า 3-4 ครั้ง
ระหว่างนั้น กลุ่มผู้อำนวยการ สพท.ได้ออกมาทวงถามถึงความคืบหน้าหลายครั้ง รวมถึงเข้าพบนายวิษณุ
แต่ได้รับคำตอบว่าการแก้ไขคำสั่ง คสช.ค่อนข้างยาก และเสนอแนะให้ใช้ช่องทาง คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) แทน กล่าวคือ ให้เสนอข้อกฎหมายเพื่อแก้ไขแนวปฏิบัติที่เป็นปัญหาไปยัง กอปศ.และรัฐบาลจะรับร่างกฎหมายที่เสนอขึ้นมาจาก กอปศ.มาพิจารณา
ขณะที่ นพ.ธีระเกียรติออกมาให้คำตอบในทำนองเดียวกันว่า ตอนนี้นายกฯ มีนโยบายให้ปรับแก้กฎหมายในภาพรวม ซึ่งเรื่องใดที่เคยใช้อำนาจมาตรา 44 แก้ปัญหา ให้ไปกำหนดรายละเอียดไว้ในกฎหมายใหม่ ที่อยู่ระหว่างการปรับแก้ด้วย รวมถึงการแก้ปัญหาอำนาจตามมาตรา 53(3) และ (4) ให้นำข้อเสนอที่ได้จากทั้ง 2 ฝ่าย ไปใส่ไว้ในร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
เมื่อ คำตอบ ที่ได้ออกมาในรูปแบบนี้ ถึงแม้ฝ่ายผู้อำนวยการ สพท.จะอยากให้แก้คำสั่ง คสช.ดังกล่าวเพียงใด แต่ก็ทำได้เพียงแค่ กดดัน เท่านั้น
ขู่กันเบาๆ อย่างเช่น ผู้อำนวยการ สพท.ทั่วประเทศ ประกอบด้วย ผู้แทนสมาคมนักบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย ผู้แทนสมาคมนักบริหารเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย ผู้แทนชมรมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย (ชร.ผอ.สพท.) และผู้แทนประธานคลัสเตอร์ทั้ง 4 ภูมิภาค ได้หารือร่วมกันและมีมติที่จะแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ โดยเชิญชวนสมาชิกลาออกจาก กศจ.และคณะอนุกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (อกศจ.)
ล่าสุด นายธนชน มุทาพร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ชัยภูมิ เขต 1 และประธาน ชร.ผอ.สพท.ออกมาเคลื่อนไหว อ้างมติผู้อำนวยการ สพท.ทั่วประเทศสนับสนุนแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ โดยทวงคืนอำนาจการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรา 53 จาก ศธจ.ให้แก่ผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้อำนวยการ สพท.ตามเดิม
โดยตราบใดยังไม่คืนอำนาจให้ผู้อำนวยการ สพท.ทั่วประเทศ จะเคลื่อนไหวต่อต้าน ศธจ.ในเชิง สัญลักษณ์ ด้วยการไม่ลงนามในหนังสือต้นเรื่องที่ต้องส่งให้ ศธจ.ลงนาม ทั้งเรื่องเลื่อนเงินเดือน เลื่อนวิทยฐานะ และแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการครู แต่ให้รองผู้อำนวยการ สพท.ลงนามแทน
ซึ่งผู้อำนวยการ สพท.ทั่วประเทศ เริ่มมาตรการนี้แล้ว…
ทำเอา หมอธี ถึงกับลมออกหู!!
สั่ง นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เรียกแกนนำ สพท.เคลียร์ ย้ำชัดว่าอย่าปล่อยให้ใครออกมาประท้วงเชิงสัญลักษณ์
ผมเป็นรัฐมนตรี ถ้าผมบอกว่าจะไม่เซ็นหนังสือได้หรือไม่ เหตุผลเพราะผมไม่พอใจใครสักคน ประเทศจะอยู่อย่างไร เรื่องพวกนี้ ครูก็เบื่อ เพราะครูเขาอยากสอนเด็ก แต่ผู้บริหารพูดถึงแต่เรื่องอำนาจ ใครคุมใคร ใครให้เงินเดือนใคร ใครสั่งใคร แล้วจะปฏิรูปการศึกษาได้หรือไม่ การปฏิรูปการศึกษาต้องไปถึงเด็ก ผมขอพูดแรงๆ เพราะเขาก็พูดแรงมา ประเทศกำลังจะเดินไปข้างหน้า ถ้าให้ตั้งข้อสังเกตที่ออกมาพูดครั้งนี้ หรือเป็นเพราะกำลังจะเลือกตั้ง ผมได้สั่งผู้บริหาร สพฐ.ไปแล้ว ตั้งแต่นายบุญรักษ์ ว่าต้องจัดการให้ได้ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไปดูตามกฎหมายว่า ถ้าพูดแบบนี้ เป็นผู้บังคับบัญชา ทำอะไรได้ เรียกมาคุย ต้องทำตามกฎหมายบ้านเมือง
เรื่องนี้เป็นคำสั่งหัวหน้า คสช.ไม่ใช่เรื่องที่จะออกมาประท้วงเชิงสัญลักษณ์ ผมบอกไปแล้ว ถ้ามีการออกมาพูดแบบนี้อีก การประชุมผู้อำนวยการ สพท.สัปดาห์หน้า ผมคงไม่ไป เพราะคุยแล้วคงไม่ได้อะไร จะมาคุยกันเรื่องอำนาจ หลอกให้ผมไปคุยแล้วจะให้รับปาก ผมไม่ทำ นพ.ธีระเกียรติกล่าว
ถือเป็นการ เบรก ความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของรัฐมนตรีว่าการ ศธ.
ต้องรอดูว่า สุดท้ายแล้ว บิ๊ก สพฐ. จะสามารถเคลียร์เรื่องนี้ได้ลงตัวหรือไม่
หรือการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ครั้งนี้ จะเป็นการ จุดชนวน การปะทะกันระหว่างผู้อำนวยการ สพท.และ ศธจ.ให้ปะทุขึ้นอีกรอบ ได้แต่หวังว่าจะไม่บานปลายถึงขั้นกระทบต่อการบริหารงานภายใน สพท.และไม่กระทบถึงคุณภาพการเรียนการสอน
ไม่ว่าทางออกสุดท้ายของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร แต่หากผู้บริหารการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น ผู้บริหาร สพท., ศธจ., สพฐ.และทุกคนที่เกี่ยวข้อง มองไปที่เป้าหมายเดียวกัน คือ คุณภาพ การศึกษา เชื่อว่าปัญหาคงจบลงได้ไม่ยากนัก
แต่ถ้าทุกฝ่ายยัง ยึดติด กับอำนาจ พวกใคร พวกมัน…
สุดท้าย การศึกษาไทย คงหนีไม่พ้นต้อง ติดหล่ม ลงหลุมลึกลงไปอีก!!