‘หมอธี’เร่งจับ’เด็กผี’ชี้ถ้าปราบได้ไม่มีที่ไหนกล้าทำอีก เร่ง’สพท.’เช็คข้อมูล’บิ๊กร.ร.’ยื่นตัวเลขขอย้ายผิดปกติ

จากกรณีมีการร้องเรียนว่าโรงเรียนสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีการรายงานตัวเลข นักเรียนไม่มีตัวตนจริง หรือ เด็กผี และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้สุ่มตรวจสอบโรงเรียนในหลายจังหวัด และล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ท. เขต 3 เข้าตรวจสอบโรงเรียนโดมประดิษฐ์วายา อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพม.) เขต 29 ตรวจสอบข้อมูลและตรวจนับนักเรียนพบว่ามีนักเรียน 460 คน และพบนักเรียนไม่มีตัวตนในระบบ DMC เกือบ 60 คน ที่ต่างจากข้อมูลที่รายงานไว้ในปี 2559 และ 2560 โดยนำชื่อนักเรียนชั้นประถมศึกษาแห่งหนึ่งมากรอกใบสมัครและนำเลข 13 หลักมากรอกเข้าระบบ DMC โดยตัวนักเรียนยังอยู่ที่โรงเรียนเดิม และตัวเด็กมีบ้านพักห่างจากโรงเรียนดังกล่าวถึง 60-80 กิโลเมตร จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีเจตนารายงานข้อทูลที่เป็นเท็จเพื่ออัพเกรดขนาดโรงเรียนจากขนาดเล็ก เป็นโรงเรียนขนาดกลาง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้อำนวยการโรงเรียนโดมประดิษฐ์ ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดอุบลราชธานี (กศจ.อบ.) ให้ไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนบุณฑาริกวิทยาคาร ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ตนทราบเรื่องดังกล่าวและได้กำชับไปยัง นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) แล้วว่าเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายต้องปราบปรามอย่างจริงจังให้ลงไปตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบสามารถทำได้ เพราะ สพฐ.มีข้อมูลอยู่แล้วโรงเรียนใดที่เพิ่งมีการย้ายผู้บริหารและต้องการยกระดับโรงเรียน ก็ให้ไปสุ่มตรวจสอบโรงเรียนเหล่านี้ พร้อมกำชับให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ท.ในการตรวจสอบอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ หากใครมีข้อมูลการข่าวใดก็ขอให้ส่งเข้ามาที่ ศธ.ได้เลย

“คนที่ทำบัญชีเด็กผีเพื่อต้องการยกระดับโรงเรียน เราก็แทบจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าโรงเรียนไหนเพิ่งย้ายเร็วๆนี้ และต้องการยกระดับขนาดโรงเรียน ก็ให้ สพฐ.ลงไปสุ่มตรวจสอบก่อนเลย ซึ่งทางสพฐ. ก็จะทำตามแนวทางนี้ก่อน ซึ่งเรื่องนี้จะเหมือนกรณีทุจริตโครงการอาหารกลางวัน แต่ถ้าใครทุจริตและจับได้ไม่ต้องสอบนานเพราะมีข้อมูลชัดเจนว่าทุจริตก็มีโทษทางวินัย ไม่ว่าเหตุจะมาจากไหนก็โดนทั้งนั้น ซึ่งปัญหาเด็กผีจะต้องไม่มีอีกต่อไปในประเทศ ตอนนี้ผมขอจับผีก่อน แต่คงต้องใช้เวลาปราบสักระยะ ตอนนี้ผมก็ขอจับผีก่อนและก็ปรามไว้ก่อนและเชื่อว่าไม่น่าจะมีใครกล้าทำอีก” นพ.ธีระเกียรติ กล่าว

นพ.ธีระเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนที่จะต้องมีการพิจารณาแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สพฐ. ว24/2560 หรือไม่นั้น ตรงนี้เป็นเรื่องเชิงระบบ แต่การกำหนดเงื่อนไขมีที่มาที่ไป ส่วนจะการแก้หรือไม่ ต้องไม่ใช่เพราะประเด็นเรื่องเด็กผี สิ่งที่สำคัญที่ต้องแก้ไข คือ สมองของคนที่คิดจะโกง แต่แก้ไม่ได้ก็จับไปอยู่ที่ที่สมควรจะอยู่

Advertisement

นายบุญรักษ์ กล่าวว่า วันนี้ตนจะทำหนังสือสั่งการไปยัง ผู้อำนวยการสพท. ทั่วประเทศ ให้ตรวจสอบข้อมูลโรงเรียนที่มีการย้ายผู้บริหารในรอบปกติและรอบเพิ่มเติม ทั้งที่มีการย้ายในโรงเรียนขนาดเดียวกันและการย้ายไปในโรงเรียนที่ขนาดใหญ่กว่า อยากชี้แจงให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่าจุดยืนของ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. และ สพฐ.ในดำเนินการเรื่องนี้จะเอาผิดแน่นอน ถ้าตรวจสอบพบว่ากระทำผิดจริง ทั้งความผิดทางวินัย การให้ข้อมูลทางราชการที่เป็นเท็จจะมีโทษทางอาญา และถ้าพบว่ามีการนำงบประมาณไปใช้ก็มีความผิดทางแพ่ง ซึ่งการพิจารณาความผิดที่จะเกิดขึ้นจะยึดจากข้อมูลนักเรียน ณ วันที่ 10 มิถุนายน มาใช้อ้างอิงในการย้ายว่าตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ และที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการ ศธ. ให้จุดยืนที่ชัดเจนว่ากรณีมีการกระทำผิดในการให้ข้อมูลเด็กผี ถือว่ามีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง แต่ไม่ได้มีการระบุว่าเป็นโรงเรียนใด หรือผู้อำนวยการโรงเรียนคนใด

“ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสตรวจสอบทั้งระบบว่าข้อมูลในการขอย้ายขอผู้อำนวยการโรงเรียนตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ในวันที่ 10 มิถุนายนหรือไม่ ซึ่งสิทธิที่แท้จริงของผู้อำนวยการโรงเรียนในการขอย้ายไปโรงเรียนขนาดเดียวกัน หรือย้ายข้ามขนาดโรงเรียนนั้น ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เคยมีหนังสือตอบกลับมายัง สพฐ.แล้วว่า กรณีผู้อำนวยการโรงเรียน ที่เคยปฏิบัติงานที่โรงเรียนขนาดใดก็ให้ถือว่ามีประสบการณ์ในโรงเรียนขนาดนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าผู้อำนวยการโรงเรียนเคยบริหารโรงเรียนที่มีนักเรียนมากกว่า 500 คน คือโรงเรียนขนาดกลาง ก็สามารถขอย้ายไปในโรงเรียนขนาดกลาง หรือขอย้ายไปในโรงเรียนขนาดใหญ่ได้ เพราะยึดประสบการณ์การบริหารไม่ใช่ยึดจำนวนนักเรียน ณ ปัจจุบัน”นายบุญรักษ์ กล่าว

นายบุญรักษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้ากรณีที่ให้โรงเรียนทั่วประเทศดำเนินการตรวจนับจำนวนนักเรียน และให้รายงานข้อมูลในระบบ DMC ภายในวันที่ 10 ธันวาคมนั้น ขณะนี้โรงเรียนได้ส่งข้อมูลครบถ้วนและ สพฐ.ได้ปิดระบบในการให้โรงเรียนเข้ากรอกเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ สพท.ทั่วประเทศ จะต้องทำการตรวจสอบข้อมูลของโรงเรียนในพื้นที่อีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 วัน อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินการครั้งนี้ สพฐ.ได้ข้อมูล 2 ส่วน คือ 1. ข้อมูลนักเรียนที่แท้จริงของโรงเรียนเพื่อจัดสรรงบประมาณภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 ลงไป และ2.ข้อมูลนักเรียนที่ไม่มีตัวตน ที่จะแบ่งเป็น ไม่มีตัวตนแต่เป็นไปตามระเบียบว่ายังอยู่ระหว่างการติดตามหรือเพื่อจำหน่ายออก และเป็นนักเรียนที่ไม่มีตัวตนจริง จุดนี้เป็นโจทย์ที่ สพฐ.ต้องควานหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นและผู้ที่ทำต้องรับผิดชอบในส่วนนี้

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image