‘ฟาร์มสุขภาพของหนู’ สานต่อโภชนาการดีให้น้องๆ ร.ร.ตชด.

ปัจจุบันทุพโภชนาการ หรือภาวะขาดสารอาหารในเด็ก ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของหลายประเทศทั่วโลก จากการขาดความรู้ความเข้าใจด้านโภชนาการ และความสามารถของพ่อแม่ในการดูแลเรื่องสารอาหารที่มีประโยชน์ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี รวมถึง ไทย ผลสำรวจพบว่า เด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ขวบ มีภาวะเตี้ยแคระแกร็น 10.5% ผอม 5.4% น้ำหนักเกิน (อ้วน) 8.2% และมีแนวโน้มของภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนสูงขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน และเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง

โดยนักเรียนในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) มีภาวะเตี้ย 7.2% ผอม 3.8% และมีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน 4.9% ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ และสุขภาพในระยะยาวของเด็ก

มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย จึงร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สร้างสรรค์โครงการ “ฟาร์มสุขภาพของหนู” นำร่องให้โรงเรียน ตชด. 16 แห่ง ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี และ จ.ราชบุรี ในความดูแลของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน 13 ค่ายพระพุทธยอดฟ้า อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ภายใต้แนวคิด “โรงเรียนมีโภชนาการดี เด็กพัฒนาการสมวัย ศูนย์กลางฐานความรู้ ขยายความเข้มแข็งสู่ชุมชน” เพื่อส่งเสริมด้านโภชนาการ และสุขภาพของเด็ก ให้มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย โดยให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้การเกษตรแบบผสมผสาน ขยายความรู้ไปสู่ชุมชนและครอบครัว และนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการน้อมนำหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” และแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาเป็นกรอบแนวคิดของการพัฒนา

Advertisement

 

เพื่อส่งเสริมด้านโภชนาการของเด็กอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน โครงการฟาร์มสุขภาพของหนู แบ่งเป็น 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1.ฟาร์มกูรู Farm Guru เชิญตัวแทนครู และผู้นำชุมชน 80 คน มาแลกเปลี่ยนความรู้ด้านโภชนาการ และศึกษาดูงานเกษตร ที่โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เพชรบุรี

2.ฟาร์มโรงเรียน Farm to School โรงเรียนแต่ละแห่งจัดทำแผนงานพัฒนาการเกษตรแบบผสมผสาน มีผลผลิตที่หลากหลาย ได้มาตรฐาน และปลอดภัย นำมาประกอบอาหารกลางวันที่มีโภชนาการครบถ้วน มีแผนดำเนินงาน 4 เดือน ซึ่งมูลนิธิได้มอบทุนตั้งต้นรวม 800,000 บาท อาทิ การปลูกพืชผักเพื่อบริโภค การเลี้ยงเป็ดพันธุ์ไข่ ปลานิล การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การจัดทำบัญชีฟาร์ม บันทึกปริมาณผลผลิต รวมถึง ปัญหา และผลการดำเนินการเพื่อรายงานความคืบหน้าของแผนงานต่อมูลนิธิแอมเวย์

3.ฟาร์มสุข Happy Farm จัดคาราวานลงพื้นที่เยี่ยมชมความสำเร็จของแต่ละโรงเรียน โดยมูลนิธิฯ และอาสาสมัครนักธุรกิจแอมเวย์ ผู้บริหาร และพนักงานกว่า 150 คน ร่วมทำกิจกรรมปลูกผัก 5 สี ให้อาหารสัตว์ และให้ความรู้ด้านโภชนาการที่ถูกต้อง พร้อมมอบชุดของขวัญ และสื่อการเรียนรู้ด้านโภชนาการ เลี้ยงอาหารกลางวัน และจัดกิจกรรมเกมมอบความสุข และรอยยิ้มให้แก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล พร้อมมอบทุนหมุนเวียนอีก 800,000 บาท เพื่อใช้ดำเนินการตามแผนงานในอนาคต

นายกิจธวัช ฤทธีราวี ประธานกรรมการมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย เล่าว่า โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งในความตั้งใจของมูลนิธิฯ ที่จะส่งเสริมโภชนาการของเด็กให้ได้รับสารอาหารในสัดส่วนที่ถูกต้อง และครบถ้วน ด้วยเงินสนับสนุนในโครงการ 1.6 ล้านบาท ทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นกว่า 2,500 คน จากการลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมชมความสำเร็จของโครงการ ทำให้เห็นถึงความตั้งใจของทุกฝ่ายที่ช่วยกันผลักดันเด็กๆ ให้ได้รับโภชนาการที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้เพียงพอบริโภค เช่น ปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ไปถึงการแปรรูปผลผลิต และจำหน่ายผ่านระบบสหกรณ์โรงเรียน เพื่อสร้างรายได้ ทำให้เด็กๆ ได้รับประทานอาหารกลางวันที่หลากหลาย มีสารอาหารครบถ้วน โรงเรียนมีรายได้หมุนเวียน และเป็นแหล่งเรียนรู้ขยายสู่ชุมชน ความสำเร็จในครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือที่ดีจากทั้งโรงเรียน ชุมชน และครอบครัว

จากผลการดำเนินงานตามแผนงานที่ผ่าน ด.ต.หญิงมาลินณา สังข์แก้ว ครูใหญ่โรงเรียน ตชด.บ้านถ้ำหิน กล่าวว่า พอได้เงินทุนจากโครงการฯ เรามีทุนทำโครงการได้มากขึ้นจากเดิมที่โรงเรียนเคยทำอยู่แล้ว เช่น จากที่เคยทำแหนมเห็ดนางฟ้าได้ 1 กิโลกรัม เรามีเงินทุนมาทำแหนมเห็ดนางฟ้าให้เพียงพอต่อมื้ออาหารของเด็กๆ ได้ ก่อนหน้านี้เราอาจทำเพื่อการเรียนรู้ แต่เมื่อมีเงินทุนมากขึ้น ก็ทำให้เด็กๆ บริโภคได้ทุกคน เรายังมีแผนแปรรูปอีกหลายอย่าง เช่น ปกติทำกล้วยฉาบ กล้วยตาก ก็อยากพัฒนาสูตรทำกล้วยฉาบสูตรอื่นๆ อีก และเน้นไปที่การขยายผลสู่ชุมชน ดึงผู้ปกครองเข้ามาแปรรูปอาหารร่วมกับเด็กๆ ได้อย่างจริงจังมากขึ้น

ด้าน น้องดิว – ด.ญ.ธนิสา จิน้อย ชั้น ป.5 โรงเรียน ตชด.บ้านถ้ำหิน เล่าว่า ปกติหนูมีหน้าที่เลี้ยงไก่ของโรงเรียนกับขายของในสหกรณ์ พอได้ไข่ไก่มา ก็จะทำอาหาร และแปรรูปเป็นไข่เค็ม ไว้ให้นักเรียนในโรงเรียนกินเป็นอาหารกลางวัน และมื้ออื่นๆ สำหรับเด็กบ้านไกลที่พักอยู่ที่โรงเรียน หนูเอาความรู้นี้กลับไปทำไข่เค็มกินเองที่บ้านด้วย เพราะที่บ้านเลี้ยงไก่ 4-5 ตัว

จากความสำเร็จของโครงการฟาร์มสุขภาพของหนูครั้งนี้ มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินกิจกรรม เพื่อมอบโอกาส และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เด็กและเยาวชนในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image