ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 21 ตุลาคม อันเป็นวันที่ 8 ของธรรมยาตรา 5 แผ่นดิน ที่จัดโดยสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย คณะธรรมยาตรา เดินทางถึงวัดหลิ่นกวาง จ.เดียนเบียน ประเทศเวียดนาม และจัดการตักบาตรพระ 5 แผ่นดิน ปลูกหน่อพระศรีมหาโพธิ และสวดมนต์ โดยมีพระคุณเจ้า ติค เถี่ยน ตัม รองประธานสงฆ์แห่งประเทศเวียดนาม เป็นประธานฝ่ายเวียดนาม พระธรรมวรนายก อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ประธานสงฆ์ฝ่ายไทย และนายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการฯประธานฆราวาสฝ่ายไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีชาวไทดำเข้าร่วมกิจกรรม เจ้าอาวาสวัดหลิ่น กวาง กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเห็น การใส่บาตรพระสงฆ์ 5 แผ่นดิน หากชาวบ้านไม่มีข้าวสาร อาหารแห้ง ก็สามารถมาขอจากทางวัดเพื่อร่วมกิจกรรมทางศาสนาได้
สำหรับวัดหลิ่นกวาง สร้างเสร็จในปี 2014 เป็นวัดพุทธนิกายมหายาน ของชาวพุทธจังหวัดเดียนเบียน มีพระและเณร 15 รูป พระหลายรูปจบมหาวิทยาลัยสงฆ์จากฮานอย ทุกปีจะมีการสอนกรรมฐาน ในการเปิดเทอมภาคฤดูร้อน
สำหรับจังหวัดเดียนเบียน มีชนเผ่า 18 ชนเผ่า ส่วนใหญ่เป็น ไทดำ ไทขาว ม้ง วัดจะเป็นเหมือนศูนย์กลางช่วยเหลือชาวเขาที่ยากจน โดยใช้วันตรุษจีน และวันสำคัญทางศาสนาเป็นวันที่พบปะช่วยเหลือ
นายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย กล่าวว่า แผ่นดินลุ่มน้ำโขงนับถือพุทธศาสนามากว่า2,000 ปี และพุทธศาสนาไม่เคยทำลายใคร มีแต่สร้างความสามัคคีเมตตา โดยใช้วิถีธรรม จึงขอความเมตตาหลวงพ่อพระคุณเจ้า ติคเทียนตั๋ม เป็นที่ปรึกษามาตลอดเกือบ10ปี และท่านได้ส่งพระเวียดนามมาอบรมพระธรรมทูตเชิงลึกที่ประเทศอินเดียร่วมกับพระสงฆ์4ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา ลาวและไทย โดยยึดหลักแผ่นดินลุ่มน้ำโขง เรามีพ่อองค์เดียวกัน คือพระพุทธเจ้า และเกิดในแผ่นดินเดียวกันคือลุ่มน้ำโขง เสมือนมีน้ำโขงเป็นแม่ของเรา ฉะนั้นชาวพุทธลุ่มน้ำโขงคือญาติพี่น้องกัน
การมาครั้งนี้คือถือว่าเป็นการผลักดันกงล้อแห่งธรรมที่มีมากว่า 2,000 ปี เพื่อนำมาซึ่งความเป็นพี่น้องกัน นำหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกที่วัด เสมือนเป็นสหชาติหรือตัวแทนพระพุทธเจ้าให้ชาวเวียดนามที่นับถือพุทธได้บูชา
พันตรีซอมูต่ง ผู้บังคับกองพันป้องกันชายแดนเมียนมา และกรรมการสมาพันธ์พุทธเถรวาทแห่งสภาพเมียนมา ซึ่งเดินทางร่วมมาด้วย บอกว่า การได้มาเห็นประเพณี วัฒนธรรมในแต่ละประเทศที่ต่างจากเมียนมา รู้สึกตื่นเต้น และเชื่อว่า พุทธศาสนา จะสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของทั้ง5ประเทศได้ จะเห็นได้จากการออกมาต้อนรับของประชาชนทั้งที่ประเทศไทย และเมียนมา ที่ผ่านมา