เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม นายสุภัทร จำปาทอง เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้เสนอแนวทางการปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในส่วนของ สกศ.ให้คณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้าง ศธ.ที่มีนายวราวิทย์ กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ ศธ.เป็นประธานพิจารณาแล้ว ภาพรวมยังคงรูปแบบเดิมตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) ที่มี นพ.จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธาน เสนอไว้ในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ที่เห็นว่า สกศ.ควรจะปรับไปเป็นสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และเพิ่มข้อกำหนดใหม่ ให้มีสมัชชาที่จะเป็นกลไกการขับเคลื่อนงานการศึกษาระดับจังหวัด เพิ่มกลุ่มภารกิจ มีศูนย์สารนิเทศน์ทางการศึกษา มีระบบที่สามารถดึงข้อมูลทุกคนได้ ขณะเดียวกันยังมีภารกิจที่มาจากการผนวกรวมกับร่าง พ.ร.บ.ปฐมวัย คือให้ สกศ.เป็นสำนักงานเลขานุการพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งต้องเพิ่มโครงสร้าง และอัตรากำลังเข้าไปด้วย
“ทั้งหมดนี้ คืองานที่จะเพิ่มขึ้น โดยผมทำแบบสภามหาวิทยาลัย คือให้มีกลุ่มงานที่จะทำงานให้กับคณะกรรมการนโยบายฯ โดยเฉพาะ การทำหน้าที่วิเคราะห์ความก้าวหน้าการทำงานแต่ละระยะ ส่วนโครงสร้างหลักจะเพิ่มสำนัก 1 สำนัก คือ สำนักนโยบายตามกฎหมาย และการเพิ่มภารกิจในลักษณะกลุ่มงาน ส่วนที่เหลือไม่เปลี่ยนแปลงเพียง แต่เปลี่ยนภารกิจ โดยยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ศธ.เพียงแต่คณะกรรมการนโยบายฯ มีนายกฯ เป็นประธาน เพราะหากให้ไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) อาจมีปัญหาในเรื่องการกำกับดูแล เพราะเป็นระดับ (ซี) 11 เท่ากัน” นายสุภัทร กล่าว
นายสุภัทรกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีข้อเสนอปรับโครงสร้าง ศธ.ให้มีรัฐมนตรีว่าการ ศธ.และปลัด ศธ.เป็นผู้กำกับนโยบายทั้งหมดนั้น ข้อเสนอนี้เหมือนเป็นการล้มซี 11 ที่เหลือทั้งหมด ส่วนตัวคิดว่าขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินการ สามารถทำได้โดยไม่ต้องลดซี 11 และเท่าที่หารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา เบื้องต้นไม่ได้คิดถึงจุดนั้น แต่ให้ความสำคัญกับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู โดยส่วนตัวอยากให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กำหนดไว้ในกฎหมาย ในส่วนที่ยังมีความเห็นต่างคือ ครูใหญ่ ผู้ช่วยครูใหญ่ และใบรับรองความเป็นครู ไม่มีประเด็นเหล่านี้