เมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มอบหมายให้สำนักงานก.ค.ศ. ปรับปรุงร่าง หลักเกณฑ์การขอมีและเลื่อนวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ ซึ่งก.ค.ศ.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด คือ คณะอนุกรรมการศึกษาวิจัยปัญหาและเสนอแนวทางการขอมีและเลื่อนวิทยฐานะใหม่ อีกชุดคือ คณะอนุกรรมการ จัดทำวิทยฐานะใหม่ โดยใช้กรอบแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการศธ. คือ ไม่เน้นการเขียนผลงานวิชาการ เอกสาร ดูจากการปฏิบัติจริง ทั้งนี้คณะอนุกรรมการศึกษาวิจัย ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญได้การประเมินบุคคลจากต่างประเทศมาให้ข้อคิดเห็น ซึ่งมีข้อสรุปตรงกันว่า การประเมินวิทยฐานะในอนาคต จะไม่เน้นการพิจารณาเอกสาร แต่จะเน้นผลการปฏิบัติงาน โดยในส่วนของข้าราชการครูจะยึดตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ หรือ ว 21/2560 การประเมินผลงานที่เกิดจากการปฎิบัติหน้าที่ตำแหน่งครูเป็นฐานในการพัฒนา แต่จะปรับเรื่องการประเมิน ซึ่งเดิมประเมินกระบวนการ เป็นเอกสาร ไปดูผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากห้องเรียนเป็นสำคัญ
นายอัมพร กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังตั้งทีม วางแนวทางการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการประเมิน ซึ่งจะใช้ได้สมบูรณ์เต็มรูปแบบกรณีที่ทุกโรงเรียนมีอินเตอร์เน็ต และระบบเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าของศธ. เข้าถึงโรงเรียนทุกแห่งอย่างแท้จริง เพื่อให้ครูสามารถบันทึกการสอนเก็บไว้ในคลาวด์ส่วนตัว และนำการสอนที่บันทึกไว้ ใช้ในการประเมินวิทยฐานะได้ แต่ในช่วงที่เทคโนโลยียังไม่สมบูรณ์ ก็ต้องใช้วิธีการประเมินผลงานเชิงประจักษ์ไปก่อน โดยผลงานเชิงประจักษ์ดังกล่าวไม่ได้หมายถึง รางวัล ผลงาน แต่ให้ผู้อำนวยการโรงเรียน ประเมินการปฏิบัติหน้าที่การสอนในตำแหน่งครู และผลที่เกิดกับผู้เรียน ส่วนการประเมินผู้อำนวยการโรงเรียน ก็จะสอดคล้องกัน โดยจะดูที่ผลงานของครู คือ ผลสัมฤทธิ์ของเด็ก ผลงานของครูก็เป็นตัวสะท้อนผู้อำนวยการโรงเรียน ต่างกันตรงที่ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องจัดทำข้อตกลง ในการพัฒนา เช่นเมื่อเข้ารับตำแหน่งแล้ว จะพัฒนาโรงเรียนไปในทิศทางใด และเด็กจะต้องมีผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นในระดับใด โดยตั้งเป้าให้เกณฑ์ประเมินวิทยฐานะทั้งครู เกณฑ์ประเมินผู้อำนวยการโรงเรียนและเกณฑ์ประเมินศึกษานิเทศก์แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ขณะเดียวกัน ต้องคำนึงถึงสิทธิของคนที่มีสิทธิจะยื่นตามเกณฑ์เดิมที่ประกาศเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ด้วย
“ส่วนความคืบหน้ากรณีที่ผู้อำนวยการโรงเรียน ประมาณกว่า 5,000 คน ร้องเรียนก.ค.ศ. กรณี ถูกพิจารณาให้เป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินวิทยฐานะเกณฑ์ ว13 เรื่องการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยาฐานะเชี่ยวชาญ ซึ่งเปิดให้ยื่นตั้งแต่ปี 2559 และได้รับแจ้งผลการพิจารณาว่าเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติในปี 2561 ทำให้ครูและผู้บริหารสถานศึกษาเสียสิทธิกว่า 5 พันคนนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ก.ค.ศ.ได้แจ้งหนังสือไปยังส่วนราชการ รวมถึงมีการจัดประชุมประชุมวีดีโอคอนเฟอเรนซ์สร้างความเข้าใจ โดยให้ทุกคนที่ยื่นขอมีและเลื่อนวิทยฐานะ ว13 เมื่อปี2559 แล้วและได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติ ให้มีสิทธิยื่นทบทวนได้ทุกคน โดยผู้ที่เสียสิทธิสามารถส่งให้รายละเอียดให้พิจารณาภายใน 90 หลังได้รับหนังสือแจ้ง จากก.ค.ศ. ซึ่งก.ค.ศ. ส่งหนังสือแจ้งไปเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา”นายอัมพร กล่าว