‘เมียนมา-กะเหรี่ยง’ส่อเค้ารบกันอีก หลังกะเหรี่ยงออกแถลงการณ์ซัดพม่า
ส่อรบ-‘เมียนมา-กะเหรี่ยง’ ส่อเค้ารบกันอีกหลังทหารเคอ็นยูประเมินโรดแมปมีแต่เมียนมาได้เปรียบออกแถลงการณ์ซัดคุกคามพื้นที่กะเหรี่ยงไม่มีสิ้นสุด ไม่รักษาสัญญาสันติภาพ
เมื่อวันที่ 18 พ.ค. สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู.) ที่นำโดยพลเอกมูตู เส่โพ ประธานาธิบดีเคเอ็นยู.ได้ออกแถลงการณ์ไปถึงรัฐบาลเมียนมา ถึงประเด็นการทำสัญญาสันติภาพ ระหว่างเคเอ็นยู.กับรัฐบาลเมียนมา ในการไปสู่สันติภาพ (Road Map) ที่มีเนื้อหาว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการที่นำไปสู่สันสันติภาพ และการพัฒนาด้านการเมือง การปกครองของชนชาวกะเหรี่ยง ในทางกลับกัน ทางรัฐบาลเมียนมายังคงละเมิด รุกล้ำอธิปไตยของเขตอิทธิพลเคเอ็นยู. เช่นการส่งกำลังทหารเข้าไปในพื้นที่เพื่อทำกิจกรรมต่างๆโดยพละการ เช่น การสร้างถนนเข้าเขตเคเอ็นยู.ในพื้นที่เมืองผาปูน และเขตพะโค รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นเขตควบคุมของกองพลที่ 2 ,3 และกองพลที่5 ของกองทัพเคเอ็นยู. และยังเข้าไปจำกัดสิทธิของทหารเคเอ็นยู.ในพื้นที่ควบคุมหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสันติภาพของทั้ง 2 ฝ่าย และส่งผลกระต่อการทำโรดแมประหว่างฝ่ายรัฐบาลเมียนมา กับชนกลุ่มน้อย 11 กลุ่ม ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศ หรือ Nationwide Ceasefire Agreement (NCA)
“ เรามีการประชุมกองทัพเคเอ็นยู.ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายพลเรือน และฝ่ายทหาร ที่มีผู้บัญชาการกองพลทั้งหมด 5 กองพลรวมประชุม ในที่ประชุมสมาชิกหลายคนรู้สึกไม่สบายใจ และไม่พอใจอย่างยิ่งกับการกระทำของฝ่ายรัฐบาลเมียนมา โดยเฉพาะกองทัพ ทำให้ต้องพิจารณาข้อตกลง และจะไม่ยอมให้ทางฝ่ายทหารเมียนมาเข้าไปในพื้นที่เคเอ็นยู. เรื่องที่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องเก่าๆ ที่ซ้ำซาก และได้เจรทำความเข้าใจมาหลายครั้งแล้วทั้งในระดับพื้นที่ และระดับสูง แต่ไม่มีผลใดๆ ตลอดระยะเวลา 5 ปีของการทำข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศไม่มีความคืบหน้าใดๆ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเมียนมามีแต่ได้กับได้ “ ผู้นำระดับสูงเคเอ็นยู.กล่าว
สำหรับการประชุมกองทัพเคเอ็นยู.ได้ประชุมมาตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.ที่กองบัญชาการกองพลที่ 7 ตรงข้ามอำเภอท่าสองยาง จ.ตาก โดยมีนายพาโด้ซอแซ ป่วย รองเลขาธิการเคเอ็นยู.เป็นประธานในที่ประชุม และมีพลเอกจอนห์นี่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลโทโบ่จอแฮ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เข้าร่วมประชุมพร้อมกับ ผบ.พล จากพื้นที่ต่างๆทั้งหมด 5 กองพล หลังจากการประชุมแล้วเสร็จ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา
