ด่วน!! มติ ก.ค.ศ. ปรับสอบภาค ค ผ่านเกณฑ์ 60% ได้สัมภาษณ์ทุกคน

ด่วน!! มติ ก.ค.ศ.ปรับสอบภาค ค ผ่านเกณฑ์ 60% ได้สัมภาษณ์ทุกคน ส่วนกลางรวมคะแนนเรียงลำดับ ส่ง กศจ.เรียกบรรจุ

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งจะสอบวันที่ 29-30 สิงหาคมนี้ โดยในส่วนของภาค ก และข ให้ส่วนราชการออกข้อสอบ และให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) จัดสอบตามเดิม แต่ปรับการประเมินภาค ค ซึ่งเดิมกำหนดให้เรียกสอบภาค ค เมื่อมีตำแหน่งว่าง ทำให้ไม่สามารถได้ครูมาปฏิบัติการสอนได้ทันตามความต้องการ ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ปรับการประเมินภาค ค ดังนี้ 1.ให้ผู้สมัครสอบแข่งขันแจ้งระดับการศึกษา และระดับชั้น ไว้ในใบสมัครสอบ เพื่อให้โอกาสในการเตรียมความพร้อมในการสอบสาธิตปฏิบัติการสอน 2.กำหนดให้ผู้ผ่านการสอบภาค ก และภาค ข ทุกคนเข้ารับการประเมินภาค ค ในคราวเดียวกัน 3.ให้มีการขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้เป็นบัญชีของ กศจ. โดยให้บรรจุและแต่งตั้งตามลำดับที่ในบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ เพื่อให้มีครูปฏิบัติการสอนทันทีเมื่อมีตำแหน่งว่าง 4.กำหนดให้ส่วนราชการเป็นผู้พิจารณากำหนดคุณวุฒิในประเภทวิชา หรือกลุ่มวิชา หรือทาง หรือสาขาวิชาเอก ที่มีความจำเป็นหรือขาดแคลนเป็นพิเศษได้ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและความจำเป็นของส่วนราชการ

“การปรับเช่นนี้เชื่อว่า จะทำให้คัดคนที่มีความรู้ความสามารถมาเป็นครูได้เร็วขึ้น ส่วนผู้ที่สอบขึ้นบัญชีไว้ จะทยอยเรียกบรรจุจนครบ โดยให้สามารถเรียกบรรจุแต่งตั้งข้ามจังหวัดได้อยู่แล้ว ศธ.จะเร่งปฏิบัติเพื่อจะดูแลทั้งผู้ที่ขึ้นบัญชีไว้ และผู้ที่กำลังจะสอบ เชื่อว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ”นายณัฏฐพล กล่าว

นายอัมพร พินะสา เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวว่า สำหรับหลักเกณฑ์การสอบแข่งขันครูผู้ช่วย ที่จะปรับครั้งนี้ เพื่อให้สามารถบรรจุแต่งตั้งได้เร็ว โปร่งใส เป็นธรรม ซึ่งจากเดิมผู้ที่มีสิทธิสอบภาค ค จะต้องสอบผ่านภาค ก และ ข ร้อยละ60 โดยเรียงคะแนนจากสูงไปหาต่ำ เรียกสอบภาค ค ตามอัตราว่าง ทำให้เกิดข้อห่วงใยว่าจะทำให้การบรรจุล่าช้า งบบานปลายและห่วงความไม่โปร่งใส จึงเสนอให้ปรับโดยให้ผู้สอบภาค ก และ ข ไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 เรียงลำดับตามเลขที่นั่งสอบ ไม่เรียงตามคะแนน ได้สิทธิสอบภาค ค ทุกคน โดยจะมีกรรมการกลางในการจัดสอบ ประกอบด้วยสอบสัมภาษณ์ ประเมินแฟ้มสะสมงาน และสอบปฏิบัติการสอน เมื่อสอบครบทั้ง 3 ภาค จะนำคะแนนมารวมกัน ส่วนกลางจะเป็นผู้รวมคะแนนแล้วเรียงลำดับจากสูงไปหาต่ำ ส่งให้ กศจ.เรียกบรรจุตามลำดับ โดยไม่มีการสอบอีก เชื่อว่าจะทำให้เกิดความสบายใจแก่ผู้เข้าสอบ อีกทั้งทำให้ความสับสนในการดำเนินการลดน้อยลง ทั้งนี้องค์ประกอบกรรมการแต่ละจังหวัด มาจากหลายภาคส่วนทั้ง ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู ผู้ทรงคุณวุฒิ ฯลฯ

นายอัมพรกล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังอนุมัติการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเกลี่ยอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเดิมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) จะคืนอัตราเกษียณในตำแหน่งผู้บริหารให้ 100% แต่ในปีนี้ คปร.กำหนดเงื่อนไขการจัดสรรคืนอัตราเกษียณ ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ให้เฉพาะสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียน 120 คน ขึ้นไป ทำให้สถานศึกษาดังกล่าวประสบปัญหาในการจัดการศึกษาและส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษา ประกอบกับตั้งแต่ปี 2559 ศธ.มีนโยบายเร่งด่วนในการบริหารจัดการสถานศึกษาขนาดเล็กที่มีนักเรียน 40 คน ลงมา ให้สามารถบริหารจัดการยุบ เลิก หรือควบรวมสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ที่ประชุมจึงเห็นชอบ ให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเกลี่ยอัตรากำลัง ว 19/2555 ในส่วนของการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน ไปกำหนดเป็นตำแหน่งเดิมในสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียน 41-119 คน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับการบริหารจัดการ โดยกำหนดเงื่อนไข ดังนี้ 1.ให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา จากสถานศึกษาต่างๆ ดังนี้ สถานศึกษาที่ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษา หรือ สถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนต่ำกว่า 120 คน 2.ให้ตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ได้ทั้งตำแหน่งว่างและตำแหน่งที่มีผู้ดำรงตำแหน่ง 3.การตัดโอนให้ดำเนินการได้ภายในจังหวัดเดียวกันเท่านั้น 4.สถานศึกษาปลายทางที่รับการตัดโอน ต้องมีจำนวนนักเรียนในสถานศึกษามากกว่าสถานศึกษาต้นทาง 5.กรณีสถานศึกษาต้นทาง เป็นสถานศึกษาที่มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 40 คนลงมา ภายหลังตัดโอน ตำแหน่งและอัตราเงินเดือนแล้ว มิให้กำหนดตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาดังกล่าวขึ้นใหม่

Advertisement

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบปรับปรุงคุณสมบัติเฉพาะสำหรับผู้ดำรงตำแหน่ง ตามมาตรฐานตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานบริหารสถานศึกษา สายงานบริหารการศึกษาและสายงานนิเทศการศึกษา ซึ่งเดิม ก.ค.ศ.กำหนดรองผู้อำนวยการโรงเรียนที่ดำรงตำแหน่งไม่ถึง 1 ปี ไม่สามารถสอบขึ้นผู้อำนวยการโรงเรียนได้ ขณะที่ครูวิทยฐานะชำนาญการ สอบเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนได้ ขณะที่ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ (สพท.) ก็มีปัญหาผู้มีคุณสมบัติสอบต้องเป็นรองผู้อำนวยการ สพท. มาแล้ว 1 ปีถึงมีสิทธิสมัคร ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้จึงปรับใช้คำว่าจาก “ดำรงตำแหน่ง” เป็น “ดำรงตำแหน่ง หรือ “เคยดำรงตำแหน่ง”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image