ยกเครื่อง..กฎเหล็กฟัน ‘ครูหื่น’ สกัดล่วงละเมิด ‘น.ร.’ ซ้ำซาก แบล็กลิสต์-เขี่ยพ้นวงจรแม่พิมพ์ถาวร

ยกเครื่อง..กฎเหล็กฟัน ‘ครูหื่น’ สกัดล่วงละเมิด ‘น.ร.’ ซ้ำซาก แบล็กลิสต์-เขี่ยพ้นวงจรแม่พิมพ์ถาวร

ครูหื่น – กลายเป็นเรื่องที่สะเทือนวงการศึกษาไทย และแวดวงแม่พิมพ์ไทยทุกครั้ง ที่เกิดข่าวฉาวโฉ่ “ครู” กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ และอนาจารกับนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหญิง หรือนักเรียนชายก็ตาม

ย้อนกลับไปในปี 2562 ได้เกิดเหตุสะเทือนจิตใจของคนในสังคมไทย เมื่อครู 5 คน ของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.มุกดาหาร และศิษย์เก่ารุ่นพี่อีก 2 คน ร่วมกันข่มขืนนักเรียนหญิงชั้น ม.2 อายุ 14 ปี และนักเรียนหญิงชั้น ม.4 อายุ 16 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนในโรงเรียนดังกล่าวมานานนับปี และทำการข่มขืนนักเรียนเฉลี่ยเดือนละ 2 ครั้ง !!

หลังจากเรื่องแดงขึ้มา ครูทั้ง 5 คน ถูกตั้งข้อหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงในเรื่องกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง และเป็นการกระทำแก่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองเพื่อการอนาจาร

โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาการประถมศึกษา (สพป.) มุกดาหาร ซึ่งเป็นต้นสังกัด ได้ให้ครูทั้ง 5 ราย “ออกจากราชการ” ไว้ก่อน ตามกฎคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่าด้วยการสั่งพักราชการ และสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน

Advertisement

ในจำนวนดังกล่าว มีครูอีก 3 คน ถูกแจ้งดำเนินคดีเพิ่มอีก 1 คดี คือร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร

อย่างไรก็ตาม ครูทั้งหมดได้รับการประกันตัว ต่างปฏิเสธข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาล

กรณีล่าสุด ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองนครพนม นำหมายศาลจังหวัดนครพนม เข้าจับกุมตัว นายชัย (นามสมมุติ) อายุ 52 ปี ครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งใน จ.นครพนม ได้ล่วงละเมิดทางเพศหลานสาวของตน อายุ 15 ปี เป็นเวลานานกว่า 3 ปี !!

Advertisement

ซึ่ง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มีคำสั่ง “ไล่ออก” ครูรายดังกล่าว เนื่องจากไม่ใช่ข้าราชการ แต่เป็นพนักงานราชการ ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) จ้างสอนทดแทนอัตราครูที่ขาดแคลน ดังนั้น จึงสามารถไล่ออกได้ทันทีโดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย

ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ที่มี นายเอกชัย กี่สุขพันธ์ ประธาน กมว.เป็นประธาน เมื่อเร็วๆ นี้ มีมติตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู กรณีครูโรงเรียนมัธยมใน จ.นครพนม ข่มขืนหลานสาว หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีความผิดจริง จะดำเนินการทางจรรยาบรรณวิชาชีพ และจะถูก “แบล็กลิสต์” ในระบบ จะไม่ได้รับใบอนุญาตฯ ตลอดชีวิต แม้ระเบียบจะเขียนไว้ว่า เมื่อถูกเพิกถอนใบอนุญาตฯ เกิน 5 ปี สามารถขอใบอนุญาตฯ ใหม่ได้ แต่กรณีกระทำชำเราเด็ก คุรุสภาจะขึ้นบัญชีดำไว้ ว่าจะไม่ออกใบอนุญาตฯ ให้ เพื่อไม่ให้คนเหล่านี้กลับมาเป็นครูได้อีก

ทั้งนี้ จะพบว่าข่าวฉาวโฉ่ของครู หรือบุคลากรทางการศึกษา ที่ล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน ถูกเปิดเผยออกมาไม่ได้หยุดได้หย่อน สร้างความสะเทือนใจให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้คนในสังคมครั้งแล้วครั้งเล่า

จนเกิดคำถามต่างๆ ตามมามากมาย โดยเฉพาะ “บทลงโทษ” ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เบาไปหรือไม่ และเพียงพอหรือไม่ ??

เพราะดูเหมือนแม่พิมพ์บางส่วน ที่สักแต่ทำอาชีพครู แต่ไม่ได้มีจิตวิญญาณความเป็นครู จะใช้อำนาจหน้าที่ของความเป็นครู อาศัยช่องว่าง ช่องโหว่ ล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนในรูปแบบต่างๆ

เพราะจากการรวบรวมข้อมูลตัวเลขของ ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียน (ฉก.ชน.) สพฐ.พบสถิติการล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนระหว่าง พ.ศ.2559-2562 ดังนี้

ปี 2559 ระหว่างเด็กกับเด็ก 12 ราย ระหว่างบุคคลอื่นกับเด็ก 20 ราย และระหว่างบุคคลในครอบครัวกับเด็ก 22 ราย

ปี 2560 ระหว่างเด็กกับเด็ก 10 ราย ระหว่างบุคคลอื่นกับเด็ก 33 ราย และระหว่างบุคคลในครอบครัวกับเด็ก 17 ราย

ปี 2561 ระหว่างเด็กกับเด็ก 214 ราย ระหว่างครู/บุคลากรทางการศึกษากับเด็ก 44 ราย ระหว่างบุคคลอื่นกับเด็ก 131 ราย และระหว่างบุคคลในครอบครัวกับเด็ก 48 ราย

ปี 2562 ระหว่างเด็กกับเด็ก 7 ราย ระหว่างครู/บุคลากรทางการศึกษากับเด็ก 8 ราย ระหว่างบุคคลอื่นกับเด็ก 14 ราย และระหว่างบุคคลในครอบครัวกับเด็ก 10 ราย

จากสถิติในช่วง 2 ปีหลัง ยังไม่รวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้้นใน 2563 มีเด็กถูกครูและบุคลากรทางการศึกษาล่วงละเมิดถึง 52 ราย คือปี 2561 จำนวน 44 ราย และปี 2562 จำนวน 8 ราย

เหล่านี้ยังไม่รวมถึงเคสที่ไม่มีการเปิดเผย หรือกรณีที่เรื่องยังไม่แดงขึ้นมา

เพราะแม้บางปีจะไม่มีข้อมูลตัวเลขครูล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุครูล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน

ซึ่งสังคมได้ตั้งคำถามว่า จริงๆ แล้วเรื่องเหล่านี้ ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับบุคลากรที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่พิมพ์ของชาติเลยใช่หรือไม่ เพราะครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของนักเรียน ต้องมีจรรยาบรรณวิชาชีพครูกำกับ ผนวกกับคุณธรรม จริยธรรม และจิตวิญญาณของความเป็นครู ไม่ควรที่จะทำร้ายเด็กทั้งร่างกาย และจิตใจ !!

น่าตกใจมากกว่านั้นคือ สถิติที่มีเด็กถูกคนในครอบครัวล่วงละเมิดทางเพศกันเอง ระหว่างปี 2559-2562 มีมากถึง 97 ราย !!

ทำให้เกิดคำถามว่าครอบครัวนั้น เป็นสถานที่ “ปลอดภัย” สำหรับเด็กจริงหรือไม่ ?

หาก “บ้าน” และ “โรงเรียน” ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ อีกต่อไป แล้ว “สถานที่” ใด จึงจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ ทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นเกราะกำบัง และช่วยปกป้องเด็กๆ เหล่านี้ให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ

นายชนะ สุ่มมาตย์ ผู้อำนวยการ ฉก.ชน.สพฐ.เปิดเผยถึงแนวทางการทำงานเมื่อพบเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศนักเรียนว่า หลังจาก ฉก.ชน.รับทราบว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน จะเข้าไปดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาทันที หากนักเรียนไม่ประสงค์จะเรียนต่อที่เดิม จะติดต่อหาที่เรียนให้นักเรียนใหม่ หากมีการฟ้องร้อง หรือดำเนินคดีอาญา ผู้ปกครองจะเป็นโจทย์ในการฟ้องร้อง หากผู้ปกครองไม่สามารถฟ้องร้องได้ ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) จะเป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องแทน แต่ถ้า สพท.ไม่ดำเนินการใดๆ ฉก.ชน.จะเป็นตัวแทนฟ้องร้องแทน จากที่ผ่านมาจะพบว่าผู้ปกครองเป็นผู้ฟ้องร้องเอาผิดผู้กระทำผิดทั้งหมด

“ส่วนการเยียวยาช่วยเหลือเรื่องการเงินให้กับผู้เสียหาย ฉก.ชน.จะประสานกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ต่อไป ซึ่ง ฉก.ชน.จะมีศูนย์ประจำอยู่ตามจังหวัดต่างๆ หากมีการร้องเรียน และร้องทุกข์เข้ามา ก็สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ทันเหตุการณ์ และจากคดีล่วงละเมิดทางเพศที่ผ่านมา จะพบว่ารัฐมนตรีว่าการ ศธ.ดำเนินการสั่งลงโทษอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการให้ออกจากราชการไว้ก่อน หรือการพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เป็นต้น” นายชนะ กล่าว

ด้าน กมว.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควบคุมความประพฤติ กำหนดมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมทั้ง มีอำนาจพักใช้ใบอนุญาตฯ หรือเพิกถอนใบอนุญาตฯ ก็จะมีมาตรการลงโทษสำหรับครูที่ล่วงละเมิดทางเพศกับนักเรียน โดยการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และสั่งพักใบอนุญาตฯ ไว้ก่อนเป็นเวลา 60 วัน เพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหาหลักฐานการกระทำความผิด เพื่อเพิกถอนใบอนุญาตฯ เป็นการถาวรต่อไป

นายเอกชัย กี่สุขพันธ์ ประธาน กมว.กล่าวว่า จากข่าวล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนที่ผ่านมา สังคมอาจคิดว่ามีจำนวนครูที่ประพฤติผิดทางเพศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในความจริงแล้ว จากสถิติที่ผ่านมา พบว่าจำนวนผู้กระทำผิดไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เนื่องจากปัจจุบันข้อมูลข่าวสารมีความรวดเร็ว ทำให้สังคมรับรู้ข่าวสารที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

“นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เร่งรัดการแก้ไขการจัดทำร่างข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยการพิจารณาประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. … ให้มีความรวดเร็ว ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และลดขั้นตอนการดำเนินงาน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของวิชาชีพ คาดว่าอีก 2 เดือนจะแล้วเสร็จ” นายเอกชัย กล่าว

นายเอกชัยระบุด้วยว่า ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธาน กมว.มีมติการพักใช้ใบอนุญาตฯ และเพิกถอนในอนุญาตฯ ไว้ก่อน ดังนี้ การล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน พักใช้ใบอนุญาตฯ ครู 1 ราย เพิกถอนใบอนุญาตฯ ครู 8 ราย เพิกถอนใบอนุญาตฯ ผู้บริหารสถานศึกษา 3 ราย และพักใช้ใบอนุญาตฯ ไว้ก่อนเพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงลงพื้นที่หาหลักฐานเพื่อเอาผิด แบ่งเป็น ครู 8 ราย และผู้บริหารสถานศึกษา 1 ราย

ส่วนการกระทำผิดด้านชู้สาว ได้พักใช้ใบอนุญาตฯ ครู 1 ราย พักใชใบอนุญาตฯ ผู้บริหารสถานศึกษา 2 ราย การลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุ พักใช้ใบอนุญาตฯ ครู 8 ราย และทำร้ายร่างกาย (นักเรียน หรือบุคคลทั่วไป) พักใช้ใบอนุญาตฯ ครู 6 ราย พักใช้ใบอนุญาตฯ ผู้บริหารสถานศึกษา 3 ราย

อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่มีข่าวครู หรือบุคลากรทางการศึกษา ล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน สังคมต่างหวังว่ากรณีที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นเคสสุดท้าย และคาดหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีบทลงโทษที่รวดเร็ว และเด็ดขาด

เพื่อไม่ให้ผู้ที่คิดจะใช้วิชาชีพครู เป็นช่องทางในการล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนอีก

ต้องจับตาว่า การ “ยกเครื่อง” ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยการพิจารณาประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพของ ศธ.ครั้งนี้ จะช่วยสกัดบรรดาแม่พิมพ์สายหื่น ไม่ให้ “แหกคอก” ออกไปกระทำย่ำยีกับนักเรียนได้หรือไม่ !!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image