ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
สืบเนื่องกรณีคลิปภาพที่ถูกแอบถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ เป็นภาพเหตุการณ์ กรณีเด็กนักเรียนหญิง ชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านลำหาด ต.ทัพทัน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ นักเรียนมีอาการป่วยแล้วไปรักษาที่ โรงพยาบาลสังขะ แพทย์วินิจฉัยว่าแพ้อาหาร พอครูทราบเรื่องว่าเด็กมาพูดทำให้เสียหายเกี่ยวกับอาหารกลางวัน จึงเรียกให้เด็กนักเรียนหญิงคนดังกล่าวมากราบขอขมาบริเวณหน้าเสาธงต่อหน้า นักเรียนหลายร้อยคน จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในขณะนี้ ต่อมาครูรายดังกล่าวได้ระบุว่า มีการให้เด็กทดลองรับประทานเต้าหู้ เพื่อทดสอบว่าแพ้จริงหรือไม่ ซึ่งปรากฏว่าไม่มีอาการแสดงออกที่ผิดปกติ จึงให้เป็นเหตุให้เด็กก้มกราบตามที่เป็นข่าวนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ได้มีการสร้างแคมเปญในเวปไซต์ Change.org โดยรณรงค์ “เรียกร้องให้คุรุสภาตั้งคณะกรรมการสอบ อาจารย์ให้นักเรียนกราบขอขมากรณีแพ้เต้าหู้ไข่”
มีการระบุถึงเหตุผลสั้นๆว่า แพ้อาหาร อันตรายถึงชีวิต อย่าเอาชีวิตเด็กมาทดลองตามอารมณ์ ควรให้ครูทำความเข้าใจเรื่องอาการแพ้อาหารว่ามีความอันตราย ทำให้หมดสติ หรือถึงแก่ชีวิตได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการสร้างแคมเปญเพียงไม่กี่ชั่วโมง ได้มีผู้ร่วมลงชื่อเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุดเมื่อเวลา 21.00 น. มีผู้เข้าร่วมแล้วถึง 8,442 ราย
นอกจากนี้ แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทยด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยายาลรามาธิบดี เจ้าของเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 3 แสนคน ได้โพสต์ข้อความในเพจดังกล่าว มีเนื้อหาโดยสรุปว่า การสั่งให้เด็กกราบหน้าเสาธง นับเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง ซึ่งส่งผลเสียต่อการพัฒนาของเด็ก เด้กอาจซึมซับความรุนแรงจากโรงเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า นอกจากนี้ การทดสอบการแพ้อาหารด้วยวิธีดังกล่าว ก็อันตรายต่อชีวิตอย่างยิ่ง
ข้อความดังต่อไปนี้
หมอได้ดูคลิปที่เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังร้องห่มร้องไห้ถูกพี่ชายและครูบังคับ ให้กราบที่หน้าเสาธงของโรงเรียนท่ามกลางสายตาเด็กนักเรียนอีกหลายร้อย
เนื้อข่าวบอกว่า เด็กทานอาหารกลางวันแล้วผื่นขึ้น ไปหาหมอแล้วกลับมาบอกครูว่าสงสัยแพ้เต้าหู้ไข่ที่โรงเรียน
สัมภาษณ์ครู ครูบอกว่าเด็กไม่มีประวัติแพ้ ไม่เคยขอยาแก้แพ้ ไม่เชื่อว่าจะแพ้ ครูเป็นนักวิทยาศาสตร์ จะเชื่ออะไร “ต้องมีหลักฐาน” จึงให้เด็กมากินเต้าหู้ไข่ต่อหน้าและถ่ายรูปเก็บหลักฐานไว้ ผลปรากฏว่าไม่ได้แพ้จริง จากนั้นครูจึงสั่งให้เด็กมากราบขอขมาเพราะคิดว่าเด็กโกหก เป็นการทำร้ายโรงเรียน ทำให้โรงเรียนเสียชื่อเสียง
หมออยากให้เราเรียนรู้เหตุการณ์นี้ร่วมกันดังนี้นะคะ…
- หลายครั้งสาเหตุของการแพ้ หมอเค้ายังทำได้แค่สงสัย เพราะสารต่างๆ บนโลกมีมากมาย ใครแพ้อะไรอาจจะได้จากประวัติและการคาดเดา (การทดสอบการแพ้ จะทำเมื่อแพ้ซ้ำๆหรือแพ้รุนแรง แต่ก็ทำได้ในสารเฉพาะอย่าง)
- ไม่มีประวัติแพ้ ไม่เคยขอยาแก้แพ้ ไม่ได้แปลว่าแพ้ไม่ได้
- ข้อนี้สำคัญมาก!! การทดสอบการแพ้ “ไม่ควรทำเองโดยพละการ” บางคนแพ้แบบรุนแรง หลอดลมบวม หายใจไม่ได้ ความดันตก เสียชีวิตได้ทันที คนแพ้อาหารหลายคนจึงต้องพกยาฉีดฉุกเฉินไว้กับตัว นี่คือเรื่องที่เป็นอันตรายถึงชีวิต และเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่ควรใช้อำนาจบังคับใครให้ทำเพื่อเป็นการพิสูจน์สิ่ง ที่ตนสงสัย
- “การแพ้อาหาร” เป็นปัญหาส่วนบุคคล ไม่ได้เกิดจากอาหารสกปรก ถ้าพ่อแม่ไม่ได้แจ้งการแพ้ไว้ แล้วครูเผลอเอาให้เด็กกิน ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่โรงเรียนต้องรู้สึกเสื่อมเสียชื่อเสียง
- ถ้าคิดว่าเด็กโกหก สิ่งที่ครูควรทำ คือการคุยกับเด็กเพื่อหา “ที่มา” ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เด็กต้องโกหก
- การบังคับกราบ ไม่ได้ช่วยปรับพฤติกรรมอะไรในตัวเด็ก เพราะตราบใดที่สาเหตุไม่ได้รับการมองหาหรือแก้ไข การกราบก็อาจเป็นเพียงสัญลักษณ์ว่าอีกฝ่ายยอมแพ้ และอีกฝ่ายได้ชัยชนะ
- การนำความผิดเด็กมาประจานด้วยการให้กราบกรานหน้าเสาธง ส่งผลกระทบกระเทือนกับจิตใจ ส่งผลให้อับอาย และส่งผลร้ายในการพัฒนาเด็ก
- หลายครั้ง เด็กซึมซับ “ความรุนแรง” “ความก้าวร้าว” “ความเอาชนะ” “ความสะใจ” มาจากต้นแบบที่ได้เห็น “ในโรงเรียน”
น่าเศร้าที่หลายครั้งต้นแบบนั้นมาจาก “ครู”
… คนที่เด็กเชื่อถือและศรัทธารักลูก(ศิษย์)… ช่วยกันคิดมองหาสาเหตุแล้วแก้ไข มากกว่าการทำอะไรแค่เพื่อประจานการกระทำนะคะ
เพราะนั่น… จะทำให้เราไม่มีวันช่วยเหลือลูก(ศิษย์)ได้อย่างแท้จริง
#หมอโอ๋เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน
ผู้พบว่าความรุนแรงอยู่ทั่วทุกหัวระแหงในสังคมไทย… ความรุนแรงที่เราโอบกอดมันไว้แบบไม่รู้ตัวป.ล. เราเอาเรื่องนี้มาเรียนรู้ร่วมกัน เป็นตัวอย่างของการไม่ใช้ “คำรุนแรง ประนาม หรือไม่สุภาพ” กับผู้อื่นนะคะ
หมอเชื่อว่า ความเจ็บป่วยก็เกิดได้กับหมอ ความไม่รู้ก็เกิดได้กับครูเช่นกัน