นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่เฟซบุ๊กชื่อ “Pandit” เผยแพร่ข้อความระบุว่า “ประกาศด่วน!! เลื่อนเปิดเทอมทั่วประเทศไทย เป็นวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้” แต่เมื่ออ่านเนื้อหาภายในกลับพบว่าเป็นการโฆษณาแอพพลิเคชั่นเพื่อให้สมัครเข้าเรียนคอร์สพิเศษต่างๆและมีการส่งต่อในโซเชียลมีเดียจำนวนมากทำให้ความเข้าใจผิดนั้น ตนได้สอบถามข้อเท็จจริงไปยังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้รับการยืนยันว่าไม่มีหน่วยงานใดมีประกาศเรื่องดังกล่าว อีกทั้งตามระเบียบของ ศธ. ผู้มีอำนาจสั่งปิดสถานศึกษาเป็นการชั่วคราวคือ ผู้อำนวยการสถานศึกษาเท่านั้น คณะกรรมการสถานศึกษาไม่มีอำนาจสั่งปิดแต่อย่างใด
ปลัดศธ. กล่าวต่อว่า การสั่งปิดสถานศึกษาจะขึ้นอยู่กับ 2 กรณี ได้แก่ 1.กรณีพิเศษ คือมีการขอใช้สถานที่โรงเรียนในการจัดกิจกรรมพิเศษ และ2.กรณีเหตุพิเศษ คือ เกิดเหตุภัยพิบัติ วาตภัย ที่อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อครูและนักเรียน เป็นต้น โดยมีอำนาจสั่งปิดได้ไม่เกิน 7 วัน หากจำเป็นต้องปิดเกินกว่านั้นเป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาตามลำดับ อย่างไรก็ตามตนได้มอบให้ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.)ไปตรวจสอบด้วยว่าผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว เป็นสถาบันกวดวิชาที่ขึ้นทะเบียนกับสช.หรือไม่ หากใช่ ก็ขอให้ดำเนินการทำหนังสือชี้แจง แต่หากไม่ใช่ก็ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวอีก
“ศธ.เห็นว่าในช่วงเวลาที่ทุกคนทั่วประเทศเศร้าโศก ไม่ควรจะมีหน่วยงานใดที่จะใช้เหตุการณ์นี้ เพื่อประโยชน์ของตนเองเพราะส่งผลกระทบต่อนักเรียน และผู้ปกครองด้วย”ปลัด ศธ.กล่าว
นายกฤติชัย อรุณรัตน์ เลขาธิการ กช. กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่รายงานเบื้องต้นว่าสถาบันกวดวิชาที่โพสต์ข้อความดังกล่าวไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับสช.และที่โพสต์ข้อความแบบนั้นเจตนาเพื่อต้องการจะแจ้งข่าวบอกต่อ ๆ กันในกลุ่มสมาชิกเท่านั้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากข้อความที่ปรากฎออกไป ส่งผลให้ผู้ปกครอง นักเรียน รวมถึงครูเกิดความสับสนอย่างมาก ดังนั้น สช.จะทำหนังสือไปถึงสถาบันกวดวิชาดังกล่าวซักซ้อมความเข้าใจ และขอความร่วมมือให้ระมัดระวังในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารใด ๆ ก็ตาม อันจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งจะขึ้นประกาศชี้แจงข้อเท็จจริงว่าทุกหน่วยงานในสังกัด ศธ.ไม่ได้มีการประกาศเลื่อนเปิดตามแต่อย่างใดทางเว็บไซต์ www.opec.go.th ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเฟสบุ๊ก Pandit ได้มีการลบข้อความดังกล่าวแล้ว
