ตุลาคม เดือนแห่ง “ปริวิโยค” เปิดคำให้การ “นางร้องไห้” ในงานพระบรมศพรัชกาลที่ 5

เครื่องกงเต๊กในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครบ 7 วัน (ภาพจาก L'Instantane 2 ธันวาคม ค.ศ. 1911)

ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2453 ตุลาคมปีนั้น นับเป็นเดือนแห่งความทุกข์โศกของชาวสยามทั้งปวง เมื่อพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 สวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม นำความ “ปริวิโยค” ใหญ่หลวงมาสู่คนไทยและผู้อยู่ใต้ร่มพระบารมี

ในงานพระบรมศพครั้งนั้น ยังมี “นางร้องไห้” เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธี ซึ่งต่อมาถูกยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 6

หม่อมศรีพรหมา หรือ เจ้าศรีพรหมา ธิดาพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช (เจ้าสุริยะ ณ น่าน) ผู้ครองนครน่าน ชายาหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ซึ่งเป็นนางกำนัล รับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ได้รับหมายให้เป็นนางร้องไห้ในงานพระบรมศพ ได้เขียนเล่าถึงเรื่องราวและความรู้สึกในห้วงเวลานั้นอย่างละเอียดไว้

หม่อมศรีพรหมา กฤดากร
หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา

ข้อความส่วนหนึ่ง มีดังนี้

Advertisement

“………..ต่อมาผู้เขียนได้รับหมายให้ไปเป็นนางร้องไห้ ให้ไปตั้งแต่ 8 โมงเช้าวันนั้น (23 ตุลาคม) โดยแต่งชุดขาวทั้งชุด ท่านผู้สำเร็จราชการของสมเด็จ (คุณท้าวปั้ม) ท่านก็จัดไปตามหมาย เมื่อผู้เขียนออกจากพระตำหนัก จะเข้าไปเป็นนางร้องไห้ในวังหลวง สมเด็จก็ยังไม่คืนพระสติ ภายหลังทราบจากเพื่อนๆ ที่ไมไ่ด้เข้าไปเป็นนางร้องไห้ว่า พอรู้สึกพระองค์ ก็ทรงพระกรรแสงจนหมดพระสติไปอีก หลายครั้งหลายคราว

ผู้เขียนได้ไปนั่งร้องไห้อยู่ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท การร้องไห้นั้น แท้ที่จริงเป็นการร้องเพลงอย่างเศร้าที่สุด เกิดมาผู้เขียนก็เพิ่งเคยได้ยิน ขณะนั้นผู้เขียนอายุในราว 19-20 และรู้สึกว่าเพลงร้องไห้นี้ช่างเศร้าเสียนี่กระไร ทุกคนน้ำตาไหลรินจริงและสะอื้นจริงๆ ยิ่งมีเสียงปี่ที่โหยหวน และเสียงกลองชนะ (เปิงพรวด) เลยยิ่งไปกันใหญ่

นางร้องไห้มีผลัดกันหลายผลัด แต่ละผลัดแบ่งเป็นยามๆ คือ ยามรุ่ง ยามเที่ยง ยามค่ำ และสองยาม เมื่อได้เวลาผลัดใครผู้นั้นๆ ก็ไปรวมกันที่พระที่นั่งดุสิตฯ แต่ละผลัดของนางร้องไห้ จะมีทั้งหมด 14 คน  แบ่งออกเป็น 2 พวก คือ ต้นเสียง 6 คน นอกนั้นเป็นลูกคู่ พวกต้นเสียงนั้น โดยมากเป็นคนประจำของวงดนตรีของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ส่วนลูกคู่ 8 คนก็จัดเอาพวกเจ้าจอมที่ยังสาวอยู่ไปรวมทั้งตัวผู้เขียนด้วย

Advertisement

การจะตั้งต้นร้องไห้นั้น ต้องคอยฟังเสียงประโคมก่อน แล้วจึงจะร้องบทเพลงพิเศษโดยร้องกันไปรับกันไป จนเสียงประโคมหยุด เป็นอันหมดพิธีของผลัดนั้น แต่หากผลัดใดประจวบกับวันทำบุญใหญ่ทุกๆ 7 วัน นางร้องไห้จะต้องร้องแทรกระหว่างยามค่ำกับสองยามอีกวาระหนึ่ง

วันทำบุญใหม่จะมีเจ้านาย ขุนนาง และชาวต่างประเทศมาร่วมเป็นจำนวนมาก นางร้องไห้ต้องปฏิบัติหน้าที่ดีเป็นพิเศษ และต้องทำงานหนักกว่าวันธรรมดาหน่อย ปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไปเป็นเวลาร่วมปีจนถวายพระเพลิง”

เครื่องกงเต๊กในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครบ 7 วัน (ภาพจาก L'Instantane 2 ธันวาคม ค.ศ. 1911)
เครื่องกงเต๊กในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครบ 7 วัน (ภาพจาก L’Instantane 2 ธันวาคม ค.ศ. 1911)

บทนางร้องไห้

  1. ต้นเสียงร้องพร้อมกัน   “โอ้พระร่มโพธิ์ทอง     พระพุทธเจ้าข้าเอย

“พระทูลกระหม่อมแก้ว   พระพุทธเจ้าข้าเอย”

ลูกคู่รับ                    “พระพุทธเจ้าข้าเอย   พระทูลกระหม่อมแก้ว”

“พระพุทธเจ้าข้าเอย”

2       ต้นเสียง                   “โอ้พระร่มโพธิ์ทอง     พระเสด็จสู่สวรรคตชั้นใด”

“ละข้าพุทธบาทยุคลไว้ พระพุทธเจ้าข้าเอย”

“พระทูลกระหม่อมแก้ว         พระพุทธเจ้าข้าเอย”

ลูกคู่รับ                       “พระพุทธเจ้าข้าเอย   พระทูลกระหม่อมแก้ว”

“พระพุทธเจ้าข้าเอย”

3       ต้นเสียง                “โอ้พระร่มโพธิ์ทอง     พระเสด็จสู่สารทิศใด”

“ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไป            พระพุทธเจ้าข้าเอย”

“พระทูลกระหม่อมแก้ว   พระพุทธเจ้าข้าเอย”

ลูกคู่รับ                  “พระพุทธเจ้าข้าเอย  พระทูลกระหม่อมแก้ว”

“พระพุทธเจ้าข้าเอย”

ภาพและข้อมูลจาก นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 31 ฉบับที่ 12 ตุลาคม 2553

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image