ดราม่าเยอะจริงๆสำหรับงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 72 ไม่ว่าจะเป็นการจองซื้อเสื้อเชียร์ที่ต้องใช้ความบากบั่นเป็นอย่างสูงของฝ่ายธรรมศาสตร์ ไหนจะกระแสข่าวคีย์เวิร์ดต้องห้ามจากฝ่ายจุฬาฯ เรื่อง ‘แหวน-นาฬิกา’ ในขบวนล้อการเมือง
อีกทั้งผลการแข่งขันที่ต้องรอลุ้น และไฮไลต์อย่างการแปรอักษรสุดอลังการจากนิสิตนักศึกษา 2 สถาบัน รวมถึงการประชันขันแข่งแย่งซีนด้วยเชียร์ลีดเดอร์หญิงชายชวนแดนซ์กระจายสร้างสีสัน
เอาเป็นว่า มาตัดฉากนั่งเครื่องย้อนเวลาไปดูภาพบรรยากาศบอลประเพณีในอดีตกันดีกว่า ว่าจะคึกคักขนาดไหน มีพัฒนาการความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ?
แม่โดมเจ้าภาพครั้งแรก ณ ทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง) พ.ศ.2477
การแข่งขันฟาดแข้งกระชับสัมพันธ์ระหว่างจุฬา-ธรรมศาสตร์ครั้งแรก จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2477 ที่ท้องสนามหลวง โดยมี มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นเจ้าภาพ นำโดย ดร.เดือน บุนนาค เลขาธิการ มธก.ในขณะนั้น และได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพ
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งแรกมีผู้เข้าชมจำนวนไม่มากนัก เนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น การเชียร์ยังไม่มีรูปแบบใดๆ นอกจากไปยืนเชียร์ริมสนามเป็นกลุ่มๆ เพราะไม่มีอัฒจันทร์ โดยฝ่ายจุฬาฯ ยึดขอบสนามขวา ส่วนธรรมศาสตร์ยึดขอบสนามซ้าย ผลการแข่งขันในปีแรกจบลงด้วยการเสมอกัน 1 ต่อ 1
ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก ‘อภินิหารตำนานจุฬาฯ’ ระบุว่า ผู้ริเริ่มงานดังกล่าว ฝ่ายธรรมศาสตร์ได้แก่ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ยมนาค บุศย์ สิมะเสถียร ส่วนฝ่ายจุฬาฯ ได้แก่ ประสงค์ ชัยพรรค, ประถม ชาญสันต์ และประยุทธ สวัสดิ์สิงห์ โดยรายได้ที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายจะมีการมอบเพื่อการกุศล ซึ่งครั้งแรกเป็นการเก็บเงินค่าผ่านประตูบำรุงสมาคมปราบวัณโรค อันถือเป็นโรคที่ร้ายแรงอย่างมากของไทยขณะนั้น หลังจากนั้นก็มีการเก็บเงินบำรุงการกุศลเรื่อยมา เช่น ช่วยผู้ประสบอัคคีภัย สร้างเรือนพักผู้ป่วย สร้างโรงเรียน บำรุงสภากาชาด เป็นต้น รวมถึงสมทบเพื่อการศึกษาของทั้ง 2 สถาบัน
เรียกได้ว่า นอกจากความสนุกสนาน สามัคคี ยังทำความดีเพื่อสาธารณชนอีกด้วย
ย้อนมาเรื่องสถานที่จัด ซึ่งกล่าวไปแล้วว่าหนแรกจัดที่สนามหลวงนั้น ก็นับเป็นครั้งเดียว เพราะต่อมาในครั้งที่ 2 และ 3 ได้ย้ายไปจัดที่สนามฟุตบอลโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และนับตั้งแต่ครั้งที่ 4 เป็นต้นมา มีการจัดที่สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติจนถึงปัจจุบัน ยกเว้นบางครั้งจัดที่สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์
คัดแล้วคัดอีก นิสิต ‘อัญเชิญพระเกี้ยว’
ประเพณีปฏิบัติของฝั่งจุฬา ฯ ในงานฟุบอลประเพณีก็คือการอัญเชิญตราสัญลักษณ์สู่ขบวนพาเหรด โดยมีหลักฐานภาพถ่ายที่เก่าที่สุดปรากฏในหนังสือพิมพ์สยามนิกร (พิเศษ) ฉบับวันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2507 มีผู้อัญเชิญเป็นนิสิตหญิงเพียงคนเดียว และองค์พระเกี้ยวมีขนาดเล็กกว่าองค์พระเกี้ยวจำลองที่ใช้ในปัจจุบัน
การคัดเลือกผู้อัญเชิญพระเกี้ยว พิจารณาจากคุณสมบัติที่เพียบพร้อม ทั้ง รูปร่าง หน้าตา บุคลิกภาพ ผลการเรียน ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกด้วย
ล้อการเมือง-ลีดเดอร์-แปรอักษร
สีสันงานบอลประเพณี
อีกหนึ่งสีสันขาดไม่ได้ ก็คือ ขบวนล้อการเมือง ซึ่ง ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.มหาสารคาม ศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า การล้อเลียนเสียดสีการเมืองนั้น เป็นวัฒนธรรมที่รับจากโลกตะวันตก โดยมีประเทศอังกฤษเป็นต้นตำรับ
ส่วนการแปรอักษรและเชียร์ลีดเดอร์นั้น อาจารย์ฟากแม่โดม พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ แห่งคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ บอกว่า มีความเกี่ยวกับการเข้ามาของวัฒนธรรมอเมริกัน และลัทธิทหาร
การแปรอักษร มีขึ้นครั้งแรก ค.ศ.1910 ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ส่วนเชียร์ลีดเดอร์ในกีฬาเกิดขึ้นครั้งแรกราว ค.ศ.1860 ในอังกฤษ จากนั้นในปี ค.ศ.1869 อเมริกาก็รับวัฒนธรรมดังกล่าวไปอีกทอดหนึ่ง สำหรับเชียร์ลีดเดอร์ที่เป็นผู้หญิงได้รับความนิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะผู้ชายต้องไปออกรบนั่นเอง
สำหรับการแปรอักษรในงานบอลประเพณี มีจุดเริ่มต้นจากนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งใส่เสื้อสีกรมท่ามานั่งเชียร์เกาะกลุ่มเป็นรูปพระเกี้ยววางตั้งอยู่บนพาน และมีพื้นเป็นกองเชียร์จุฬาฯ ใส่เสื้อสีชมพู ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การแปรอักษรก็ได้มีพัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 18 เมื่อ พ.ศ. 2501 ได้มีการแปรอักษรเป็นคำว่า จุฬาฯ มธก.ภปร.ซียู และทียู และใส่เสื้อสีดำไว้ข้างใน แล้วใช้เปิดตัวอักษรเป็นตัวเขียน และให้ถอดเสื้อที่สวมข้างนอกออกเป็นจังหวะภายหลังพัฒนาจากการแปรเป็นตัว อักษรมาเป็นภาพจนถึงทุกวันนี้ และมีพัฒนาการมากขึ้นในทุกปี
ขอขอบคุณภาพและข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ ’78 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (พ.ศ.2477-2555) มองธรรมศาสตร์ผ่านเอกสารจดหมายเหตุ’ , เวปไซต์สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเฟซบุ๊ก ‘อภินิหารตำนานจุฬาฯ’