“เด็กกับขนมเป็นของคู่กัน” ขนมซอง ขนมถุงกรุบกรอบ ลูกอม ลูกกวาด ช็อกโกแลต นมอัดเม็ดต่างๆ ที่หาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด เป็นสิ่งที่สร้างความสุข ให้กับเด็กๆ แต่สำหรับเด็กที่แพ้อาหาร ขนมเหล่านี้ล้วนเป็นฝันร้ายและคงดีไม่น้อยถ้าเด็กๆ ที่แพ้อาหารสามารถรับประทานขนมได้หลากหลายเหมือนเด็กๆ ทั่วไป
ปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. จำกัด ผู้มีประสบการณ์ตรงจากลูกสาวซึ่งมีอาการแพ้อาหารมาตั้งแต่แรกเกิด และเป็นแรงบันดาลใจให้หันมาปั้นธุรกิจ “ร้านขนมไม่แพ้” เบเกอรี่ทางเลือกสำหรับเด็กที่แพ้อาหาร เพื่อแบ่งปันและส่งต่อความสุขเล็กๆ ผ่านขนมให้กับพวกเขา
การแพ้อาหารเป็นภูมิแพ้ชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการที่ผู้แพ้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสารก่อภูมิแพ้ชนิดรุนแรงสูงสุด 8 ประเภท ได้แก่ นมวัว ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเปลือกแข็ง ปลา สัตว์น้ำที่มีเปลือกหุ้ม หอยชนิดต่างๆ ถั่วเหลือง และข้าวสาลี “TOP 8 allgery food” ซึ่งมักเป็นส่วนผสมอยู่ในขนมและอาหารทั่วไป
“ผมเริ่มหันมาสนใจทำขนมสำหรับเด็กแพ้อาหาร Allergy free sweets จากประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับลูกสาว ตอนที่ลูกไปโรงเรียน และมีงานสังสรรค์ งานวันเกิดของเพื่อนๆ แต่เขาไม่สามารถรับประทานขนมเหมือนอย่างเพื่อนๆ ได้ เราเห็นสายตาเขามองเพื่อนกินขนมเค้กวันเกิดกันอย่างเอร็ดอร่อย ผมและภรรยาในฐานะคนเป็นพ่อแม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมหันมาคิดค้นสูตรทำขนมเค้ก คัพเค้ก คุกกี้ และขนมอื่นๆ ให้ลูกสาวและเด็กคนอื่นๆ ที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกัน จึงเกิดเป็นธุรกิจร้านขายขนมสำหรับเด็กแพ้อาหาร ภายใต้ชื่อร้านขนมไม่แพ้” ปริญญากล่าว
และเพื่อเป็นการส่งต่อความสุขให้กับเด็กที่แพ้อาหาร และส่งมอบโอกาสทางการศึกษา สนับสนุนการเรียนรู้ให้กับเยาวชน บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี.จำกัด จึงได้ร่วมกับ ภาควิชาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี จัดโครงการ “ประกวดสูตรขนมสำหรับเด็กแพ้อาหาร By V.M.P.C.” เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาได้คิดค้นสร้างสรรค์เมนูขนมสูตรพิเศษสำหรับเด็กที่แพ้อาหารในระดับสูงสุดทั้ง 8 ประเภท ซึ่งสามารถพัฒนาต่อยอดสู่การประกอบอาชีพและธุรกิจสำหรับเชฟรุ่นใหม่ในอนาคต ชิงทุนการศึกษากว่า 30,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร
งานนี้น้องๆ ทุกทีมได้สร้างสรรค์ไอเดีย คิดค้นสูตรและโชว์ฝีมือในการทำขนมประชันกันอย่างสุดความสามารถ พร้อมจัดเสิร์ฟให้คณะกรรมการได้ลิ้มลองรสชาติ และลงคะแนนเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะเพียง 3 ทีมเท่านั้น
หัวหน้าทีมคนเก่ง “น้องแอร์” นายกฤษณพร พุ่มนุ่ม อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ปวช.3 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี เจ้าของสูตรขนม “ลูกชุบมันเทศ” ผู้คว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับทุนการศึกษา 15,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร เล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่า การคิดค้นสูตรขนมใหม่ๆ เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แต่การคิดค้นสูตรขนมที่ต้องไม่มีส่วนผสมหลักอย่าง แป้งสาลี นม ไข่ ถั่ว ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำขนมไทย และเบเกอรี่ต่างๆ เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า แต่ก็เป็นอะไรที่ท้าทายมากสำหรับทีมของเรา พวกเราเลือกทำขนมไทย ด้วยความชอบส่วนตัว และอยากจะอนุรักษ์ขนมไทยให้น้องๆ รุ่นใหม่ได้รับประทาน จึงช่วยกันคิดว่าจะทำขนมอะไรดีที่ไม่มีส่วนผสมของวัตถุดิบต้องห้ามทั้ง 8 ชนิด ที่สำคัญต้องมีรสชาติอร่อย หน้าตาสวยงาม น่ารับประทาน และเหมาะสำหรับเด็กๆ
“พวกเราช่วยกันระดมความคิด ศึกษา และหาข้อมูล สุดท้ายก็มาลงตัวที่การทำขนมลูกชุบ ขนมไทยดั้งเดิมที่มีความพิถีพิถัน ขนาดพอดีคำ หน้าตา สีสัน สวยงาม เหมาะสำหรับเด็กและหารับประทานได้ยากในปัจจุบัน เมื่อเลือกเมนูขนมได้แล้ว ก็เข้าสู่การคิดค้น ดัดแปลงสูตร ลองผิดลองถูก เปลี่ยนจากถั่วเขียวเลาะเปลือกซึ่งเป็นวัตถุดิบต้องห้ามมาเป็นมันเทศ จากนั้นก็ทดลองผสม ดัดแปลง จนได้สูตรที่ลงตัว กลายเป็นขนมลูกชุบมันเทศ” น้องแอร์เล่า
ส่วนเทคนิคการทำอาหาร น้องแอร์เล่าว่า การทำขนม หรือทำอาหาร หัวใจสำคัญอยู่ที่วัตถุดิบที่สดใหม่ กรรมวิธีที่สะอาด โดยเฉพาะถ้าต้องทำขนมหรืออาหารให้กับคนที่แพ้อาหารประเภทต่างๆ รับประทานนั้น ยิ่งต้องเพิ่มความระวังมากเป็นพิเศษ หากเราเพิกเฉยหรือไม่ใส่ใจ อาจจะเกิดอันตรายกับผู้บริโภคได้ สำหรับกิจกรรมการประกวดครั้งนี้ นอกจากจะมอบประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว ยังเป็นการมอบโอกาสสำหรับการสร้างอาชีพในอนาคตด้วย
ตามติดมาด้วยเชฟวัยใสอนาคตไกล “น้องจูน” นางสาววิภารัตน์ ธีระวัฒน์ นักเรียนชั้น ปวช.2 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี เจ้าของสูตรขนม “Pumpkin Crepe Cake” กับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับทุนการศึกษา 10,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร เล่าว่า เครปเค้ก ขนมที่มีจำหน่ายในร้านเบเกอรี่ ด้วยหน้าตาและสีสันที่น่ารับประทาน เป็นจุดดึงดูดให้เด็กๆ อยากลิ้มลองรสชาติ แต่มีอุปสรรคอยู่ที่วัตถุดิบ ส่วนผสมที่น้องๆ มีอาการแพ้อาหารไม่สามารถรับประทานได้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราคิดค้นสูตรเครปเค้กที่ไม่มีส่วนผสมของนม ไข่ แป้ง กลูเต็น และวัตถุดิบต้องห้าม พวกเราจึงเลือกใช้แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวโพด แทนแป้งเค้ก และใช้ฟักทองเป็นส่วนผสมในแป้ง เพื่อสร้างสีสันและเพิ่มคุณค่าสารอาหาร ใช้กะทิแทนครีมและนม ในการทำวิปครีม เพิ่มรสชาติความอร่อยด้วยน้ำราดซอสสตรอเบอรีและผลไม้นานาชนิดที่เหมาะกับเด็กๆ
น้องจูนบอกด้วยว่า การทำอาหาร ทำขนม ให้เด็กๆ ที่แพ้อาหารได้มีโอกาสรับประทานเหมือนเด็กๆ ทั่วไป เป็นสิ่งที่ยาก เราจะต้องมีความตั้งใจมากเป็นพิเศษ ใช้เวลาในการศึกษาหาข้อมูล ทำความเข้าใจ ฝึกฝน และทดลองทำมากกว่าการทำขนมทั่วไป แต่ทุกคนก็สามารถทำได้ นอกจากเราจะได้ขนมสูตรสำเร็จที่สามารถส่งต่อไปยังน้องๆ ที่แพ้อาหารแล้ว เรายังได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ฝึกทักษะการคิด พัฒนาฝีมือ และสร้างประสบการณ์ให้กับตัวเองอีกด้วย
ปิดท้ายที่ “น้องแป้ง” นางสาวปัญจรัตน์ กอบการ อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้น ปวส.1 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี เจ้าของสูตรขนม “Choco Rice Thailand” รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับทุนการศึกษา 5,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร เล่าว่า การคิดค้นสูตรขนมสำหรับเด็กแพ้อาหาร ทำให้พวกเราต้องระดมความคิด มีการเสนอเมนูกันมากมาย สุดท้ายก็เลือกที่จะนำขนมไทยภาคใต้คือ กระยาสารท ที่ใช้ธัญพืชนานาชนิดมากวนรวมกัน แต่ด้วยข้อจำกัดของวัตถุดิบ เราจึงปรับเปลี่ยนและตัดวัตถุดิบประเภทถั่วต่างๆ ออกไป แล้วใช้เพียงข้าวตอก ข้าวเม่าคั่ว งาคั่ว ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของขนมให้มีความน่าสนใจด้วยการปั้นเป็นก้อนกลมๆ พอดีคำ แล้วนำไปเคลือบช็อกโกแลต เป็นการสร้างจุดสนใจให้กับเด็กๆ และเพิ่มมูลค่าให้ขนมมีความทันสมัยและสะดวกในการรับประทานมากขึ้น
“ปัจจุบันคนที่แพ้อาหารมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ตัวหนูเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่แพ้อาหารทะเลชนิดรุนแรง การเลือกรับประทานอาหารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ยังไม่สามารถแยกแยะหรือควบคุมตัวเองได้ เพราะหากพลาดรับประทานอาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้เข้าไปอาจจะก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต การประกวดสูตรขนมสำหรับเด็กแพ้อาหารในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เชฟรุ่นใหม่อย่างพวกเราได้เริ่มต้นในการคิดและลงมือทำอย่างจริงจังค่ะ” น้องแป้งกล่าว
โครงการ “ประกวดสูตรขนมสำหรับเด็กแพ้อาหาร By V.M.P.C.” ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษารุ่นใหม่ที่จะก้าวไปสู่การเป็นเชฟมืออาชีพ มีความคิดริเริ่มนำเสนอไอเดีย สร้างสรรค์เมนูขนมสูตรพิเศษสำหรับเด็กที่แพ้อาหารในแบบฉบับของตัวเองได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังเพิ่มทางเลือกให้เด็กๆ ที่แพ้อาหารได้มีโอกาสลิ้มลองและเอร็ดอร่อยกับขนมที่มีความหลากหลายมากขึ้นด้วย
และไม่แน่ว่าต่อไปในอนาคตเราจะได้เห็นธุรกิจใหม่ๆ ในด้านอาหาร ที่จะเกิดขึ้นเพื่อเด็กๆ ที่แพ้อาหารประเภทต่างๆ ได้มีโอกาสและทางเลือกที่เท่าเทียมมากขึ้น
