‘บิ๊กตู่’ตั้ง32กก.ทวงคืนโบราณวัตถุจากต่างประเทศ ‘ทนงศักดิ์-เจษฎ์-มยุรี-อมรา’ นั่งกรรมการ 

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่าขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนาม คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 143/2560 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 โดยองค์ประกอบคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย มีทั้งหมด 32 คน ซึ่งเป็นผู้แทนจาก วธ. กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กรมศุลกากร อาจารย์คณะโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยศิลปากร นักกฎหมาย ผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิชาการ สื่อมวลชน โดยมีรัฐมนตรีว่าการวธ. เป็นประธาน ส่วนรองประธานคือ ปลัด วธ.และปลัด กต.

นายวีระ กล่าวต่อว่า ขณะที่คณะกรรมการฯ ประกอบด้วย เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมสารนิเทศ อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ผู้อำนวยการสำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัด วธ. ผู้อำนวยการสำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท) นายกสมาคมสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ม.ร.ว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ ม.ล.ภัทราธร จิระประวัติ นายเจษฎ์ โทณะวณิก นางมยุรี วีระประเสริฐ นางอมรา ศรีสุชาติ น.ส.พัชรินทร์ ศุขประมูล นายพิสิฐ เจริญวงศ์ นางณัฏฐภัทร จันทวิช นางเรวดี สกุลพาณิชย์ นายอาวุธ สุวรรณาศรัย นายภุชชงค์ จันทวิช นายอิสรนันท์ อิทธิสารนัย นายทนงศักดิ์ หาญวงษ์ นายดำรง สีลานุรักษ์ น.ส.นริศรา คินิมาน นายเจ้าพระยา ท่าพระจันทร์ ทั้งนี้มีอธิบดีกรมศิลปากร เป็นกรรมการและเลขานุการ ส่วนกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการมี 2 คนได้แก่ นายประทีป เพ็งตะโก รองอธิบดีกรมศิลปากร และ ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

รัฐมนตรีว่าการวธ. กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดมาตรการการดำเนินงานและวางกรอบแนวทางการปฏิบัติ เพื่อติดตามโบราณวัตถุของไทยที่สูญหายไปจากประเทศไทย และปรากฏอยู่ ณ ต่างประเทศ สำรวจ ตรวจสอบ และรวบรวมรายละเอียดข้อมูลโบราณวัตถุของไทยที่อยู่ในต่างประเทศ ประสานขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อติดตามโบราณวัตถุของไทยที่อยู่ในต่างประเทศให้กลับมาเป็นสมบัติและมรดกวัฒนธรรมของชาติ รวมถึงดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ทั้งนี้ การแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันมีโบราณวัตถุของไทยถูกนำออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก ดังปรากฏพบทั้งจากการจัดแสดงและเก็บรักษาภายในพิพิธภัณฑสถานในต่างประเทศ อยู่ในความครอบครองของเอกชน หรือมูลนิธิเอกชน สถาบันการศึกษา หรือมีการซื้อขายผ่านสถาบันการประมูลโบราณวัตถุและศิลปวัตถุต่างๆ เป็นเหตุให้สูญเสียมรดกวัฒนธรรมของชาติ ขาดข้อมูลหลักฐาน เพื่อการเรียนรู้สำหรับคนในประเทศ และเกิดภาพลักษณ์เสียหายต่อการอนุรักษ์โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุไว้ภายในประเทศ ดังนั้นจึงดำเนินการตรวจสอบโบราณวัตถุและศิลปวัตถุไทยที่อยู่ในต่างประเทศเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาและติดตามมาเป็นสมบัติและมรดกวัฒนธรรมของชาติต่อไป

นายวีระ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับสู่ประเทศไทยนั้น วธ.ได้ดำเนินการติดตามเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิและสื่อมวลชนมาประชุมหารือปัญหาถึงแนวทางการติดตามโบราณวัตถุ โดยที่ประชุมครั้งนั้นได้เสนอแนะแนวทางการติดตามโบราณวัตถุประกอบด้วย 1. สำรวจรวบรวมข้อมูลและภาพถ่ายรวมถึงจัดหมวดหมู่โบราณวัตถุของไทยที่ปรากฏอยู่ในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการติดตาม 2. ประสานงานกับ กต. แจ้งสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศ ช่วยดำเนินการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโบราณวัตถุด้วย 3. มีข้อเสนอแนะให้ศึกษา วิจัยข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับโบราณวัตถุ เพื่อพิสูจน์และใช้เป็นหลักฐานยืนยันแหล่งกำเนิดในประเทศไทย

Advertisement

นายวีระ กล่าวด้วยว่า 4. ที่ประชุมเสนอแนะให้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ถึงการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยวิธีห้ามและป้องกันการนำเข้า ส่งออก และโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ทางวัฒนธรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมายขององค์การ การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ค.ศ. 1970 และอนุสัญญาสถาบันระหว่างประเทศ เพื่อการทำให้กฎหมายเอกชนมีเอกภาพว่าด้วยวัตถุทางวัฒนธรรมที่ถูกโจรกรรมหรือส่งออกโดยผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องและติดตามโบราณวัตถุในต่างประเทศ โดยเบื้องต้นมอบกรมศิลปากรไปวิเคราะห์ข้อเสนอแนะดังกล่าว รวมถึงพิจารณาเรื่องการแก้ไขพ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน พ.ศ.2535 ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฯทั้งสองฉบับ 5. เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการ ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน นักวิชาการและสื่อมวลชน เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล กำหนดมาตรการดำเนินการและวางกรอบแนวทางในการปฏิบัติ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในไทยและต่างประเทศในการติดตามโบราณวัตถุคืน

นายวีระ กล่าวต่อว่า 6. เสนอแนะให้รวบรวมข้อมูล หรือขอความร่วมมือในการสอบถามรายละเอียดจากภาคเอกชนที่ครอบครองโบราณวัตถุ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลติดตามโบราณวัตถุคืน 7. ให้กรมศิลปากรดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวอย่างเคร่งครัดในการดูแลและอนุญาตการนำออกและนำเข้าโบราณวัตถุ 8. รวบรวมข้อมูลร้านค้าโบราณวัตถุที่อยู่ในไทย เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบราชการ 9. บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามโบราณวัตถุ โดยใช้วิธีทางการทูต และกฎหมายต่างๆ และ 10. เปิดเวทีให้ความรู้แก่ประชาชนและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในเรื่องโบราณวัตถุทั้งระดับท้องถิ่นและชาติ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image