สพฐ.เผย22หน่วยจัดขอปิด87หลักสูตร ปรับปี61ให้เขตสำรวจความต้องการครูก่อนจัดหลักสูตร

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาครูครบวงจร ว่า ที่ประชุมรับทราบกรณีผู้รับผิดชอบหลักสูตรยกเลิกการจัดอบรม จำนวน 87 หลักสูตร ใน 22 หน่วยงาน แบ่งเป็นมหาวิทยาลัยรัฐ 14 แห่ง บริษัทเอกชน 3 แห่ง สมาคม 2 แห่ง มหาวิทยาลัยเอกชน 1 แห่ง โรงเรียน 1 แห่งและกลุ่มบุคคล 1 แห่ง รวม 210 รุ่น จำนวนครูที่ลงทะเบียน 22,349 ราย ซึ่งเหตุผลในการขอยกเลิกหลักสูตรของผู้จัดอบรม เช่น กลุ่มเป้าหมายไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดจึงไม่สามารถจัดอบรมได้ เกิดความล่าช้าในการโอนเงินค่าลงทะเบียนล่วงหน้าของผู้เข้ารับการอบรม ทำให้ฝ่ายจัดไม่สามารถวางแผนการดำเนินโครงการได้ ซึ่งจะต้องส่งเงินกับหน่วยที่จัดล่วงหน้า 7 วัน ต้องปรับปรุงหลักสูตร และจำนวนผู้สมัครมีจำนวนมากไม่สามารถจัดหาสถานที่รองรับผู้เข้าอบรมได้ อย่างไรก็ตามแม้จำนวนหลักสูตรอบรมจะถูกยกเลิกค่อนข้างมาก แต่มีครูที่สำรองเงินจ่ายแล้วได้รับผลกระทบเพียง 175 ราย ซึ่งทางสำนักพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (สพค.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะประสานเพื่อชดใช้ค่าเสียหายต่อไป ส่วนที่เหลือ รู้ตัวล่วงหน้าและยังไม่ได้จ่ายเงิน

“สพฐ.ยอมรับว่า เมื่อเริ่มดำเนินการคัดเลือกหน่วยงานที่จัดอบรม เรามองโลกในแง่ดีว่าทุกคนอยากเข้ามาช่วยกันพัฒนาการศึกษา ดังนั้นจึงยังไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน และเปิดกว้าง ทำให้บางคนที่จัดอบรมเองและคิดว่าหลักสูตรของตัวเองดี ก็เสนอเข้ามาโดยใช้ชื่อของมหาวิทยาลัย แต่สุดท้ายก็เกิดปัญหา ดังนั้นที่ประชุมยังเห็นชอบปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานจัดอบรมในปีงบประมาณ 2561 โดยต่อไปจะให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) แต่ละแห่งทำหน้าที่เป็นซีอีโอ เริ่มต้นกระบวนการสำรวจว่าครูในพื้นที่ต้องการอบรมหลักสูตรใด เมื่อได้ข้อมูลจะประกาศให้หน่วยงานที่จัดอบรมได้รับทราบ และเสนอหลักสูตรเข้ามาให้ทางสถาบันคุรุพัฒนารับรองหลักสูตร จากนั้นสถาบันคุรุพัฒนาจะส่งให้คณะกรรมการกลั่นกรองหลักสูตรอบรม ของสพฐ. คัดเลือกอีกรอบ ก่อนเสนอให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ลงนามประกาศรายชื่อหลักสูตรที่ผ่านการคัดเลือกต่อไป ขณะเดียวกันสถาบันคุรุพัฒนาอยู่ระหว่างการจัดทำกรอบการออกแบบหลักสูตรพัฒนาครูและเกณฑ์การประเมินรับรองหลักสูตรพัฒนาครูใหม่ ทำให้มั่นใจได้ว่าหลักสูตรที่จะมาอบรมให้ครูต่อไปมีคุณภาพและได้มาตรฐานแน่นอน” รองเลขาธิการกพฐ. กล่าว

รองเลขาธิการกพฐ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังกำหนดให้ครูทำแผนพัฒนาตนเองหรือไอดีแพลน เข้าระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้แต่ละเขตพื้นที่ฯ ทราบข้อมูลว่าครูคนไหน อบรมหลักสูตรใด เป็นเงินจำนวนเท่าไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะอยู่ในระบบและสามารถตรวจสอบได้ ส่วนงบประมาณที่ใช้ในการอบรมนั้น ยอมรับว่ามีปัญหาติดขัดในเรื่องการเบิกจ่ายบ้าง เพราะใช้เหลือจ่ายจากโครงการต่าง ๆ ส่งลงไปที่เขตฯ ทำให้เกิดความล่าช้า แต่ปีงบ 2561 สพฐ.ได้เตรียมจัดสรรงบฯในส่วนนี้ไว้แล้ว สำหรับการเบิกจ่ายงบฯค่าจัดอบรมนั้น โดยนโยบายสพฐ. ยังให้ครูเป็นผู้ถือเงินไปจ่ายยังหน่วยอบรมเอง โดยใช้วิธียืมเงินจากเขตพื้นที่ฯ และนำใบเสร็จจากหน่วยที่จัดอบรมมาเป็นหลักฐาน สพฐ.เชื่อมั่นว่าครูทุกคนมีวินัย และหากมีใครคิดที่จะจ่ายเงินทอนครู ก็จะมีครูที่ไม่เห็นด้วยนำข้อมูลมาบอกสพฐ. ให้ตรวจสอบ ดังนั้นเรื่องพวกนี้จึงเกิดขึ้นได้ยาก

 

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image