สานต่อความดีที่ “พ่อ” ทำ เด็กไทยจิตอาสา..ดูแลผู้ป่วย “โรคเรื้อน”

 

ถ้าให้พูดถึงเรื่องราวที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของปวงชนชาวไทย เพื่อให้ราษฎรชาวไทยได้อยู่ดีกินดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และใช้ชีวิตได้อย่างสุขสงบ และปลอดภัย ให้เล่ากันทั้งปีก็คงไม่จบ แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่คนไทยทั่วประเทศยังจดจำ ความรัก ความห่วงใย ที่พระองค์ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยอย่างไม่รู้ลืม

ย้อนกลับไปในปี 2498 ยุคนั้นการแพทย์ไทยยังไม่ก้าวหน้า และประชาชนยังเข้าไม่ถึงระบบการสาธารณสุขได้ดีพอ มีผู้ป่วย “โรคเรื้อน” มากมายที่ไม่ได้รับการรักษาที่ดี กระทั่งจากเดิมป่วยแค่ระยะแรกๆ กลายเป็นเข้าสู่ระยะท้ายๆ มีผื่นผิวหนังเต็มตัว หูหนาตาเร่อ ปากจมูกแหว่ง นิ้วมือนิ้วเท้ากุด ทุพพลภาพ ซึ่งเป็นที่รังเกียจ และโดนกีดกันจากสังคม ซึ่งยากต่อการควบคุมแยกโรค เพื่อให้การรักษาเป็นระบบ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตระหนักถึงปัญหาผู้ป่วยโรคเรื้อนในไทย ทรงรับงานด้านการรักษาป้องกันโรคเรื้อนให้เป็นโครงการในพระราชดำริ ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดงานปราบโรคเรื้อน ทำให้เกิดโครงการควบคุมโรคเรื้อนแบบใหม่ ที่มุ่งค้นหา และรักษาผู้ป่วยตามบ้านที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมทั้ง ให้การรักษาที่บ้าน เพื่อลดผลกระทบทางครอบครัวของผู้ป่วย นอกจากนี้ พระองค์ท่านยังทรงพระราชทานพระราชทรัพย์จากทุนอานันทมหิดล ก่อสร้างอาคารวิจัยและฝึกอบรมวิชาการ สร้างเป็นสถาบันราชประชาสมาสัย ขึ้นที่โรงพยาบาลพระประแดงเดิม เมื่อปี 2503

โรคเรื้อน บ้างเรียกว่า ขี้ทูต กุฏฐัง หูหนาตาเล่อ โรคพยาธิ โรคผิดเนื้อ หรือเนื้อตาย เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่ติดต่อกันได้ยาก โดยจะก่อให้เกิดอาการของโรคที่ผิวหนัง และเส้นประสาทส่วนปลายเป็นหลัก ระยะแรกผู้ป่วยมักมีผื่นเดียวเป็นวงขาว ตรงกลางของผื่น ไม่มีขน ไม่มีเหงื่อ และชาบางครั้ง อาจตรวจพบเส้นประสาทบวมโตในบริเวณที่เป็นโรคเพียงข้างใดข้างหนึ่ง หากได้รับการรักษาจะหายได้เป็นปกติ แต่หากปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานเป็นปีๆ โดยไม่รักษา โรคจะลุกลามอย่างช้าๆ ในระยะท้ายของโรค ผิวหนังจะเห่อหนา และมีเส้นประสาทบวมโตพร้อมกันทั้ง 2 ข้างของร่างกาย ทำให้มีอาการชา นิ้วมือนิ้วเท้างอ เหยียดไม่ออก มือหงิก นิ้วกุด เท้าตก หรือตาบอด และอาจทำให้จมูกแหว่งจากอาการอักเสบของเยื่อบุจมูกตั้งแต่ในระยะแรกๆ ในระยะนี้ แม้จะรักษาให้หายจากโรคได้ แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขความพิการดังกล่าวได้

Advertisement

น้องพีท อรณ ยนตรรักษ์ ประธานกลุ่มจิตอาสา The Lionheart Society จากโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ กล่าวว่า จากสิ่งดีๆ ที่พระองค์ท่านได้ทำเพื่อประชาชนคนไทยทั่วประเทศ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการทำความดี โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เปรียบเสมือนการปิดทองหลังพระ ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่พระองค์ท่านไม่อยู่ ผม และเพื่อนๆ สมาชิกกลุ่มจิตอาสาได้ร่วมกันทำความดี เพื่อระลึกถึงคำสอนของพระองค์ท่าน โดยพวกเราได้ช่วยดูแลให้การอนุเคราะห์ผู้ป่วยโรคเรื้อนที่ราชประชาสมาสัย จ.สมุทรปราการ หนึ่งในโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องจากผู้ป่วยสูงอายุเหล่านี้แม้จะหายจากโรคเรื้อนแล้ว แต่ผลจากโรคทำให้เกิดความพิการถาวร เช่น นิ้วมือนิ้วเท้า มือ เท้า แขนขากุด ระบบประสาทการรับฟัง และการมองเห็นถูกทำลาย ผู้ป่วยไม่สามารถดูแลตัวเองได้ มิหนำซ้ำยังถูกลูกหลาน และครอบครัวทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในหอผู้ป่วยในโรงพยาบาล ไม่มีโอกาสออกไปไหนเลย

Advertisement

น้องพีท เล่าต่อว่า ผู้ป่วยเหล่านี้จะดีใจอย่างยิ่งเวลามีคนไปเยี่ยม ไปพูดคุยด้วย รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของผู้ป่วยเหล่านี้ ทำให้เรารู้สึกคิดถึงพระองค์ท่านมาก นอกจากจะไปเยี่ยมพูดคุยกับผู้ป่วยแล้ว เรายังนำข้าวของต่างๆ ที่จำเป็นไปมอบให้ ที่สำคัญ พวกเราได้หาเงินทุน โดยการนำผักปลอดสารพิษ และการทำกิจกรรมต่างๆ มามอบสมทบทุนให้แก่โรงพยาบาล เพื่อให้โรงพยาบาลนำไปรักษา และพาผู้ป่วยโรคเรื้อนที่สูงอายุไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ปีล่ะ 3-4 ครั้ง ซึ่งเราจะทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้ถูกสังคมละเลย และรังเกียจ เพราะความเข้าใจผิดกลัวจะติดโรคเรื้อนจากผู้ป่วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโรคเรื้อนเป็นโรคที่ติดต่อได้ยากมาก ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันแข็งแรงปกติ แม้กระทั่งบุคคลในครอบครัวที่อาศัยกับพ่อแม่ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนโอกาสติดยังยากมาก

และปัจจุบันผู้ป่วยโรคเรื้อนที่โรงพยาบาลราชประชาสมาสัย ก็เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนเชื้อหมดไปแล้ว เหลือแต่ความพิการถาวรจากโรคเท่านั้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image