‘สะบัดมือ’ สะเทือนโซเชียล! เปิดประวัติศาสตร์การ ‘ชูนิ้วกลาง’ จากยุคกรีกถึงไทยแลนด์ 4.0

เป็นที่กล่าวขวัญสนั่นโลกออนไลน์ สำหรับลีลาการ ‘สะบัดมือ’ ของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งชาวโซเชียลอื้ออึงว่าดูอย่างไรก็คือการชูนิ้วกลางใส่ชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรือคลิปวีดีโอ

ความจริงแท้เป็นเช่นไร เจ้าหน้าที่ท่านนั้นคงรู้อยู่แก่ใจ

สำหรับในแง่มุมของประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ‘การชูนิ้วกลาง’  มีหลักฐานย้อนไปยาวไกล

ตามข้อมูลของนักประวัติศาสตร์กรีกระบุว่าต้นเหตุของมันย้อนกลับไปในยุคกว่า400ปีก่อนคริสตกาล เมื่อดิโอจิเนสแห่งซิโนพ นักปรัชญากรีกโบราณ กล่าวแสดงความรู้สึกของเขาที่มีต่อ”เดมอสเธนีส” นักปราศรัยชื่อดัง ให้แก่ผู้มาเยี่ยมได้ฟัง พร้อมกับการชูนิ้วกลาง

Advertisement

การชูนิ้วกลาง โดยที่นิ้วที่เหลือถูกกดไว้โดยนิ้วหัวแม่โป้ง ถูกระบุไว้ชัดว่าคือการแสดงการดูหมิ่นเหยียดหยามและการดูถูกดูแคลนมานานเกือบ 2,000 ปี ไม่ว่าจะเป็นนักปรัชญากรีกโบราณ กวีชาวลาตินที่หวังจะขายผลงานของตน หรือกระทั่งทหาร นักกีฬา นักร้องเพลงป็อป เด็กนักเรียน หรือตำรวจ กระทั่งผู้บริหารประเทศต่างทราบดีว่าสัญลักษณ์นิ้วกลางมีพลังต่อพวกเขามากเพียงใด

นายเดสมอนด์ มอร์ริส นักมานุษยวิทยากล่าวว่า การชูนิ้วกลางเป็นกิริยาการแสดงการดูหมิ่นที่เก่าแก่ที่สุดอันหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยนิ้วกลาง แสดงสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศชาย ขณะที่นิ้วทั้งสี่ที่ห่ออยู่ด้วยกันด้านล่าง เป็นสัญลักษณ์ของอัณฑะ เมื่อใครก็ตามที่แสดงกิริยาดังกล่าว เท่ากับว่าคนคนนั้น กำลังยื่นข้อเสนอที่ชวนให้ขัดเคืองใจ โดยการแจกของสงวนให้แก่บุคคลที่เขาเกลียดชัง

นิ้วกลางยังเป็นสัญลักษณ์ขององคชาตมานานแล้วในวัฒนธรรมของยุโรปเนื่องจากเป็นนิ้วที่มีขนาดยาวที่สุดอย่างไรก็ตามแม้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ แต่คำด่านี้บ่งบอกถึงการก้าวร้าวมากกว่าจะหมายถึงเรื่องเพศโดยตรง

Advertisement

นอกจากนั้นยังมีการอ้างถึง”การชูนิ้วกลาง”ไว้ที่บริเวณหว่างขาเป็นครั้งแรกในบทละครชวนขันของกรีกโบราณ เรื่อง “The Clouds” ของอริสโตฟาเนสเมื่อ 419 ปีก่อนคริสตศักราช  ขณะที่ชาวโรมันยังตั้งชื่อพิเศษสำหรับนิ้วกลางไว้ด้วยโดยพวกเขาเรียกมันว่า “ดิจิตุส อินฟามิส” (digitus infamis) ที่แปลว่านิ้วทุเรศ หรือไร้ยางอาย  หรือ”ดิจิตุส อิมพูดิคุส” (digitus impudicus) ซึ่งมีความหมายในทำนองว่า นิ้วสัปดน

นอกจากนี้ ชาวโรมันยังคงเห็นภาพองคชาติเป็นเสมือนเครื่องรางต่อสู้กับคำสาปชั่วร้าย ดังนั้น การชูนิ้วกลางให้คนอื่นจึงอาจจะไม่ใช่คำด่าในเชิงหยาบโลน แต่น่าจะเป็นการกล่าวข่มขวัญมากกว่าว่า “ฉันจะป้องกันตัวเองจากมนต์ดำของแก ก่อนที่แกจะได้เริ่มใช้มันซะอีก” กระนั้นก็ตาม ยังมีที่มาของการด่าด้วยการชูนิ้วกลางอีกด้วยว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ชาวนาโบราณจะใช้นิ้วกลางทดสอบว่าแม่ไก่กำลังออกไข่หรือไม่

การแสดงอาการดังกล่าวยังคงแตกต่างกันในแต่ละประเทศเช่น ในอังกฤษ อาจจะชูนิ้วกลางขึ้นโดดๆ หรือชูพร้อมกับนิ้วชี้และหันอุ้งมือเข้าข้างใน และในการพิจารณาคดีหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ศาลของญี่ปุ่นยังได้ตัดสินว่าการแสดงสัญลักษณ์โดยการชูด้านหลังของนิ้วกลางของมือข้างขวาแล้วหันลงถือว่าเป็นการกระทำหมิ่นประมาทหรือการยั่วยุแม้ว่ามันจะเป็นสัญลักษณ์ไม่สามัญเท่ากับในสหรัฐฯก็ตาม

ศาสตราจารย์เกียรติคุณโธมัสคอนลีย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและวรรณกรรม จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์  อ้างคำกล่าวของ”แทคซิตุส” นักประวัติศาสตร์ชาวโรมัน ที่กล่าวว่า ชนเผ่าเยอรมันโบราณ มอบ”นิ้วกลาง”ให้แก่นักรบโรมัน ขณะที่ก่อนหน้านี้ ชาวกรีกมักใช้นิ้วกลางเพื่อแสดงสัญลักษณ์อวัยวะเพศชายอย่างตรงไปตรงมา

ที่มาของกิริยาดังกล่าว ยังถูกเชื่อมโยงไปถึงกิริยาของลิงเพศผู้สายพันธุ์หนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่ามักแสดงกิริยาพร้อมกับอวัยวะเพศที่กำลังแข็งตัว

นอกจากนั้น การชูนิ้วกลางซึ่งนายเดสมอนด์ มอร์ริสกล่าวถึง ยังอาจมาถึงสหรัฐฯพร้อมกับผู้อพยพชาวอิตาเลียน มีการบันทึกไว้ในเอกสารที่สืบไปได้ไกลถึงช่วงปี 1886 เป็นครั้งแรก เมื่อผู้เล่นตำแหน่งพิชเชอร์ของทีมเบสบอลบอสตัน บีนอีทเตอร์ส ชูนิ้วกลางระหว่างการถ่ายรูปร่วมกับทีมคู่แข่งอย่างนิว ยอร์ก ไจแอนท์ส

ในวัฒนธรรมแบบฝรั่งเศส มีการแสดงท่าทางที่สื่อถึงอวัยวะเพศชายเช่นกัน แต่มิใช่การชูนิ้ว แต่เป็นการยกแขนขึ้นคล้ายกับการเบ่งกล้ามที่เรียกว่า “bras d′honneur” หรือ “ท่อนแขนแห่งเกียรติยศ”

ขณะที่ในอังกฤษ อวัยวะเพศชายถูกนำเสนอผ่านการชู 2 นิ้ว มาใช้แทนความหมายของ”ชัยชนะ”  ซึ่งมาจากท่าทางที่นายวินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มักกล่าวคำปราศรัย พร้อมชู 2 นิ้ว เป็นรูปตัววี เพื่อประกาศชัยชนะในสงครามโลกอยู่บ่อยครั้ง

แม้ว่าจะมีการบอกเล่ากันต่อๆมาว่า การชูนิ้วกลางมีที่มาจาก”ยุทธการอาแฌงคูร์” (Battle of Agincourt) ในปี 1415 ที่เมืองอาแฌงคูร์ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส เป็นการต่อสู้ระหว่างกองทัพของฝ่ายอังกฤษที่นำโดยสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ และฝ่ายฝรั่งเศสที่นำโดยชาร์ลส์ ดาลเบรต์ ผลของยุทธการครั้งนี้ ฝ่ายอังกฤษได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดต่อกองกำลังที่เหนือกว่ามากของฝรั่งเศส

มีเรื่องเล่ากันว่า ทหารฝ่ายอังกฤษได้ชูนิ้วของตนโบกไปมาให้ทหารฝรั่งเศส เพื่อยั่วยุฝรั่งเศสที่ขู่ตัดสองนิ้วที่ใช้สำหรับรั้งสายธนูของทหารอังกฤษทิ้งเสีย เนื่องจากเหตุการณ์ที่ทหารฝรั่งเศส จับพลแม่นธนูอังกฤษได้ ก็เลยสำเร็จโทษด้วยการตัดนิ้วชี้กับนิ้วกลางที่ใช้ยิงธนูทิ้ง กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีชาวอังกฤษบางส่วนที่แสดงกิริยาเช่นนั้นอยู่เพื่อเย้ยหยันชาวฝรั่งเศส

ในปี 2004 นักการเมืองจากแคนาดารายหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าชูนิ้วกลางใส่นักการเมือฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากถูกขัดคอระหว่างการปราศรัยในสภาผู้แทนราษฎร เขาให้เหตุผลในภายหลังว่า เขาเพียงต้องการแสดงความไม่พอใจเท่านั้น และสองปีต่อมา บริทนีย์ สเปียร์ส นักร้องสาวชาวอเมริกัน ชูนิ้วกลางใส่กลุ่มช่างภาพปาปาราซซี ที่คอยติดตามเธอไปทุกที่ ขณะที่แฟนเพลงของเธอบางส่วนเข้าใจว่า นักร้องสาวชูนิ้วกลางให้พวกเขา ก่อนที่สเปียร์สจะออกมาขอโทษในภายหลัง

อิรา ร็อบบินส์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยอเมริกัน ยูนิเวอร์ซิตี้ แสดงความเห็นว่า จากข้อมูลตามประวัติศาสตร์ที่กล่าวกันมาเนิ่นนานว่า ความหมายของการการชูนิ้วกลาง คือการแสดงถึงสัญลักษณ์ของเพศชาย ในยุคปัจจุบันมันได้สูญเสียความหมายที่แท้จริงไปแล้ว ขณะที่การใช้ในบางโอกาสแทบไม่ได้สื่อถึงเนื้อหาที่มีความสัปดน หรือพฤติกรรมที่ส่อถึงความมักมากในกามอีกต่อไป แต่แตกแขนงเป็นพฤติกรรมที่เกิดทั่วไปในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก และความหมายถึงอวัยวะเพศชายจริงๆก็ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา

ขณะที่ปัจจุบันความหมายของการชูนิ้วกลางยังข้ามพรมแดนนอกเหนือจากการดูหมิ่นไปเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกทางวัฒนธรรม ภาษา ที่พบเห็นได้ทั่วไปผ่านการประท้วง การแข่งขันกีฬา และคอนเสิร์ตเพลงร็อคที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดในประเทศไทยยุค 4.0

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image