สะเทือนวงการศึกษา ขรก.ศธ.โกงเงิน ‘เด็กตกเขียว’

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผู้ใหญ่ เป็นข้าราชการ โกงได้กระทั่งเงินเรียนของเด็กตาดำๆ !

ล่าสุดขุดพบอีก เรื่องทุจริตที่เกิดขึ้นในรั้วเสมา โดย *นายการุณ  สกุลประดิษฐ์* ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ออกมาแฉพฤติกรรมข้าราชการระดับ 8 และพวกรวม 5 ราย  ยักยอกเงิน *กองทุนเสมาพัฒนาชีวิต* โอนเงินค่าเล่าเรียนเด็กเข้าบัญชีตัวเอง พรรคพวกและญาติพี่น้องกินยาวตั้งแต่ปี 2551-2561  รวม 10 ปี กว่า 88 ล้านบาท

ย้อนกลับไป กองทุนเสมาพัฒนาชีวิต เริ่มต้นในปี 2537 ใช้งบประเดิมจากสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 600 ล้านบาท ต่อมามีการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลและเงินบริจาคสบทบเข้ามาหมุนเวียน วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส และเด็กที่อยู่ในภาวะยากลำบาก เช่น  กำพร้า ยากจน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงเพื่อไม่ให้เข้าสู่ตลาดแรงงานก่อนวัยอันควร หรือถูกล่อลวงให้ไปค้าประเวณีหรือเด็กตกเขียว สนับสนุนการศึกษาให้เด็กที่จบมัธยมศึกษาตอนต้น และ ม.ปลาย หรือเทียบเท่าที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้มีโอกาสได้เรียนต่อ เริ่มต้นที่ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด และขยายให้ทุนกับสถาบันการศึกษาที่สอนด้านพยาบาล โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ กลุ่มโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ และกลุ่มวิทยาลัยพยาบาล

แว่วว่า การตรวจสอบครั้งนี้ ค้นพบโดยข้าราชการชั้นผู้น้อย จากกลุ่มตรวจสอบภายในของสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) ซึ่งทำการตรวจสอบบัญชีงบประมาณ 2560 ตามปกติ แต่ดันไปพบพิรุธ จากเอกสารการจัดทำบัญชีกองทุนฯและรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ 2560 พบว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบกองทุนฯ คือ สำนักส่งเสริมกิจการการศึกษา สำนักงานปลัด ศธ. ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ศธ. ว่าด้วยกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต พ.ศ.2550 คือ ระบบกำหนดให้ผู้รับทุนฯเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคาร โดยใช้คำว่า *”กองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของ…(ชื่อผู้รับทุน)”* แต่พบว่ามีการเปิดบัญชีในนามสถานศึกษา มีการอนุมัติจ่ายเงินให้วิทยาลัยบรมราชชนนีต่างๆ แต่ใช้หมายเลขบัญชีเดียวกัน และหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน ของทุนการศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตร์แห่งหนึ่ง ที่ชื่อเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคาร ไม่ตรงกับชื่อผู้รับทุน เฉพาะปี 2560 เป็นเงินกว่า 12,800,000 บาท  นำมาสู่การตรวจสอบย้อนหลัง ทำให้พบว่ามีการยักยอกเงินทุนการศึกษาเด็กเกิดขึ้น นานถึง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2551 ถึงเดือนมีนาคม 2561

Advertisement

เป็นการโอนเข้าบัญชีส่วนตัว พรรคพวก ญาติพี่น้องถึง 88,816,640 บาท!

หากพิจารณาตามขั้นตอนการจ่ายเงินกองทุนฯ เริ่มจาก สถานศึกษาส่งรายชื่อเด็กเพื่อเสนอขอรับทุนฯมายังสำนักส่งเสริมกิจการการศึกษา  ข้าราชการทำรายชื่อ ระบุบัญชีส่งให้ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบ  ส่งเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฯที่มีปลัด ศธ. เป็นประธาน พิจารณาว่าจะอนุมัติกี่ราย ใครบ้าง  ก่อนเสนอผู้บริหารอนุมัติเห็นชอบ จากนั้นฝ่ายปฏิบัติ ได้แก่ กองคลัง สำนักอำนวยการ ของ สป.ศธ. ก็จะดำเนินการเบิกจ่ายตามขั้นตอน

ซึ่งหากขั้นตอนเป็นไปตามนี้  วิธียักยอกเงินที่น่าเป็นไปได้คือ  จะต้องมีการเปลี่ยนเอกสารแนบท้ายใบขออนุมัติจ่ายเงิน  ทำให้คนเซ็นอนุมัติไม่รู้ว่ามีการเปลี่ยนเอกสารก่อนถึงธนาคาร ธนาคารเองก็ไม่รู้ โอนเงินเข้าบัญชีตามเอกสาร (ปลอม)

เสร็จโจรในเครื่องแบบ!

เบื้องต้นมีผู้เกี่ยวข้อง 5 ราย ทันทีที่ทราบเรื่อง ปลัด ศธ. เรียกตัวมาสอบเครียด จน 1 ใน  5 ซี่งเป็นข้าราชการระดับ 8 และทำหน้าที่ดูแลกองทุนฯ นี้มาแต่ต้นให้การรับสารภาพ ว่าทำจริง  โอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง  พรรคพวกญาติ พี่น้องรวมกว่า 20 บัญชี

จากข้อมูลตั้งแต่ปี 2551 ถึงเดือนมีนาคม 2561 มีการอนุมัติเงิน 166,347,721 บาท เป็นการโอนเงินเข้าบัญชีหน่วยงาน 77,531,072 บาท  และเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีบุคคล 88,816,640 บาท แต่ละปีจำแนกดังนี้ ปี 2551 และ 2553 ระบบบัญชียืนยันว่าได้จ่ายแล้ว แต่ยังไม่รู้ชัดเจน อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ส่วนปีอื่น ๆ ดังนี้ ปี 2552 อนุมัติ 10,892,422บาท โอนบัญชีหน่วยงาน 8,571,276 บาท โอนบัญชีบุคคล 2,320,968 บาท ปี 2553 ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ปี 2554 อนุมัติ 11,409,860 บาท โอนบัญชีหน่วยงาน 7,377,460 บาท โอนบัญชีบุคคล 4,032,400 บาท ปี 2555 อนุมัติ 25,407,608 บาท โอนบัญชีหน่วยงาน 9,074,336 บาท โอนบัญชีบุคคล 16,332,272 บาท ปี 2556 อนุมัติ 37,047,000 บาท โอนบัญชีหน่วยงาน 11,806,000 บาท โอนบัญชีบุคคล 25,241,000 บาท ปี 2557 อนุมัติ 10,997,000 บาท โอนบัญชีหน่วยงาน 8,754,000 บาท โอนบัญชีบุคคล 2,243,000 บาท ปี 2558 อนุมัติ 35,227,000 บาท โอนบัญชีหน่วยงาน 16,954,000 บาท โอนบัญชีบุคคล 18,273,000 บาท ปี 2559 อนุมัติ 18,717,000 บาท โอนบัญชีหน่วยงาน 14,169,000 บาท โอนบัญชีบุคคล 4,548,000 บาท ปี 2560 อนุมัติ 13,625,000บาท โอนบัญชีหน่วยงาน 825,000  บาท โอนบัญชีบุคคล 12,800,000 บาท ปี 2561 ถึงเดือนมีนาคม อนุมัติ 3,025,000 บาท โอนเข้าบัญชีบุคคลทั้งหมด

งานนี้ทำเอา *นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์* เจ้ากระทรวงถึงกับนั่งไม่ติด สั่งแจ้งความเอาผิดทันที รวมถึงตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง พร้อมส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบ

“ผมตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะทำคนเดียว ผมจึงสั่งการให้สอบเพิ่มไปถึงคนที่เกี่ยวข้องแวดล้อม รวมถึงผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้นว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ อาจมีเป็นกระบวนการ ซึ่งเบื้องต้นได้ขอให้ย้ายข้าราชการทั้ง 5 รายไปปฏิบัติหน้าที่ยังหน่วยงานอื่นแล้ว ส่วนผู้ที่รับสารภาพ 1 ราย ถือว่ามีโทษร้ายแรงถึงขั้นไล่ออกจากราชการ รวมถึงจะต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายด้วย ขณะเดียวกัน หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่า มีการโอนเงินเข้าบัญชีบุคคลใดอย่างไม่ถูกต้อง เจ้าของบัญชีถือว่ามีความผิดด้วย  กรณีนี้เป็นการทุจริตที่เกิดขึ้นในระดับปฏิบัติการ มีการยักยอกเงินของคนที่ควรจะได้ไป ศธ.จะทำทุกอย่างให้เกิดความเป็นธรรม  นอกจากนี้ยังสั่งการให้ตรวจสอบกองทุนฯ อื่น ๆ ด้วยว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นหรือไม่  และดูระบบการโอนเงินว่า มีการรั่วไหลได้ที่ช่องทางใดบ้าง ทุจริตตรงขั้นตอนใด ขณะเดียวกัน ให้ตรวจสอบจำนวนผู้รับทุนแต่ไม่ได้รับเงิน ว่ามีช่องทางใดที่จะเยียวยาได้บ้าง รวมถึงประสานผู้เสียหายเข้าแจ้งความดำเนินคดีข้อหายักยอกเงินอีกทางหนึ่ง” นพ.ธีระเกียรติกล่าว

เหตุจากความโลภครั้งนี้ อาจถึงขั้นไปทำลายอนาคตเด็กบางคน ที่ผ่านมามีเด็กหลายรายร้องเรียนเข้ามาว่า ไม่ได้รับเงินทุน บางรายโชคดีข้าราชการใช้วิธีหมุนเงินส่วนอื่น เพื่อจ่ายให้ไปก่อน

แต่บางรายเคราะห์ร้าย ร้องเรียนเข้ามา แต่เรื่องถูกเก็บเงียบ ถึงขั้นไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม เรียนไม่จบตามที่หวัง

งานนี้จึงต้องจับตาว่า ศธ. จะนำตัวคนผิดมาลงโทษได้เร็ว และครบทุกคนหรือไม่!

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image