เมื่อวันที่ 30 มีนาคม นายเมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ เลขาธิการสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา(สนพ) เปิดเผยถึงกรณีที่ตนท้าดีเบตใน 4 ประเด็นกับพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือ พระพุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ว่า จากการที่ท้าดีเบตกับพระพุทธะอิสระและนายไพบูลย์ ผ่านทางสื่อ ปรากฏว่าพระพุทธะอิสระ ขอรับคำท้าดีเบตเพียงแค่ 2 เรื่อง คือ 1.เรื่องการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และ เรื่องการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ส่วนเรื่องพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช และเรื่องงบอุดหนุนสมเด็จพระสังฆราช ไม่ขอหยิบยกมาโต้วาที เพราะมองว่า 2 เรื่องดังกล่าวได้เข้ากระบวนการทางกฎหมายแล้ว แต่ตนมองว่าที่พระพุทธะอิสระไม่กล้าดีเบต 2 เรื่องนั้น เพราะกลัวจะโยงใยไปถึงวัดใดวัดหนึ่งที่ข้องเกี่ยวเรื่องงบอุดหนุนสมเด็จพระสังฆราชจนเกิดผลกระทบต่อเจ้าอาวาสและพระสงฆ์ที่อยู่ในเหตุการณ์ ส่วนการกำหนดวันดีเบตนั้น ยังไม่ได้มีการกำหนดแต่อย่างใด เพราะยังหาผู้ที่เป็นกลางที่มีความรู้เรื่องพระธรรมวินัยและเรื่องกฎหมายบ้านเมืองมาเป็นกรรมการไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันเครือข่ายพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทย ได้ออกหนังสือ เรื่อง ขอนิมนต์พระสงฆ์ทั่วสังฆมณฑลลงอุกเขปนียกรรมพระพุทธะอิสระ ใจความว่า “ด้วยเป็นที่ปรากฏชัดเจนต่อสาธารณะว่า พระพุทธะอิสระ แม้อาศัยคณะสงฆ์ในสังมณฑลไทย อุปสมบทในพระพุทธศาสนา เป็นผู้หัวดื้อ ว่ายากสอนยาก ได้สมคบคฤหัสถ์ ด้วยการสมคบอันไม่สมควร ตะเกียกตะกายทำลายสงฆ์ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อการทะเลาะ ก่อการวิวาท ทำความอื้อฉาว และก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ เป็นภิกษุพาล สันดานหยาบ รุกรานพระเถระ ไม่ฉลาดในธรรม มีอาบัติมาก มีมารยาทไม่สมควร มีความประพฤติเป็นที่รังเกียจต่อคณะสงฆ์ ดังนั้น เห็นควรให้ใช้หลักพระธรรมวินัยตามที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ลงอุกเขปนียกรรม ยกภิกษุผู้เช่นนั้นออกจากหมู่สงฆ์จนกว่าจะละทิฐิกลับตัวกลับใจ อันจะยังความสุขสงบกลับคืนสู่สังฆมณฑลและพุทธบริษัท แม้นมิอาจละทิฐิ ยังมุ่งมั่นตะเกียกตะกายทำลายสงฆ์ ควรได้รับการลงโทษสถานหนัก ประกาศปัพพาชนียกรรม ขับไล่ออกจากหมู่สงฆ์ สิ้นสุดความเป็นพระหาอาวาสมิได้ ด้วยอุกเปนียกรรมนี้ ขอสงฆ์ทั้งปวงพึงทราบว่า ภิกษุผู้เช่นนั้น จะมิอาจร่วมสังฆกรรมใดๆ ในฐานะของสงฆ์ มีการบรรพชาอุปสมบท และการลงอุโบสถสวดพระปาติโมกข์ เป็นต้น สังฆกรรมใดที่ภิกษุผู้เช่นนั้นอยู่ในหัตถบาส สังฆกรรมนั้น เป็นอันถึงความเป็นสังฆกรรมวิบัติ เพราะอุกเขปนียกรรมนี้”
