เฟซบุ๊กเพจ “ข่าวสารงานพระพุทธศาสนา” ได้เผยแพร่กรณีที่พระเถระถูกจับสึกเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งถูกจับสึกโดยไม่ยอมเปล่งลาสิกขา เทียบกับพระดี อย่างพระพิมลธรรม ที่ระหว่างถูกจับ ก็ไม่ยอมเปล่งคำลาสิกขา หรือไม่ได้เปล่งคืนสิกขาบทเช่นเดียวกัน และหลังจากพ้นข้อกล่าวหา พระพิมลธรรมก็ได้กลับสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ต่อมาได้คืนสมณศักดิ์ กระทั่งที่สุดได้สถาปนาเป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ)
สำหรับ ประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) มีนามเดิมว่า คำตา ดวงมาลา เป็นบุตรคนโตของนายพิมพ์ และนางแจ้ ดวงมาลา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446 แรม 4 ค่ำเดือน 12 ณ บ้านโต้น ต.บ้านโต้น อ.เมือง จังหวัดขอนแก่น
ส่วนการต้องอธิกรณ์นั้น ใน พ.ศ. 2503 เมื่อครั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมนั้น ท่านได้ถูกกล่าวหาว่าเสพเมถุนทางเวจมรรคกับลูกศิษย์ และมีข่าวว่าพระศาสนโศภน (ปลอด อตฺถการี) อยู่กับสีกาสองต่อสองในที่ลับหูลับตาหลายครั้ง สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) จึงมีพระบัญชาให้ทั้งสองรูปพ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ทั้งสองรูปปฏิเสธ โดยตั้งใจจะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน คณะสังฆมนตรีของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี) จึงมีมติว่าทั้งสองรูปฝ่าฝืนพระบัญชา ไม่ควรอยู่ในสมณศักดิ์ต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ถอดทั้งสองรูปออกจากสมณศักดิ์ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503
ต่อมาใน พ.ศ. 2505 พระมหาอาจได้ถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงถูกบังคับสึกเป็นฆราวาส และจำคุกอยู่ที่กองบังคับการตำรวจสันติบาลอยู่หลายปี จนกระทั่งศาลทหารสามารถพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นความเท็จ และตัดสินยกฟ้องเมื่อ พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้พระเถระทั้งสองรูปคืนสู่สมณศักดิ์เดิมตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 คดีดังกล่าวนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของไทย ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้แก่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง
ช่วงปี พ.ศ.2505 มีข่าวใหญ่สะเทือนวงการสงฆ์ เมื่อพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จรูปหนึ่ง ถูกกล่าวหาต้องอธิกรณ์ว่ามีพฤติกรรมบ่อนทำลายชาติและพระศาสนา ผู้กล่าวหา คือ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะสังฆมนตรีชุด พ.ศ.2503
ผู้ถูกกล่าวหา คือ พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ ผู้มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อวงการสงฆ์ไทย กาลต่อมา ท่านได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก กรรมการมหาเถรสมาคม และผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเฟซบุ๊กเพจ “ข่าวสารงานพระพุทธศาสนา“