เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวว่าหลักสูตรของหน่วยพัฒนาครูในโครงการคูปองพัฒนาครูที่เชื่อมโยงกับวิทยาฐานะ รายหัวละ 10,000 บาทประจำปีงบประมาณ 2561 ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 785 หลักสูตร เปิดให้ครูเข้าสู่ระบบออนไลน์เพื่อช็อปปิ้ง แต่เมื่อถึงเวลาหลักสูตรกลับหายไปหลายหลักสูตร ส่งผลให้ครูที่จองหลักสูตรไว้เดือดร้อน ซึ่งต่อมามีกระแสข่าวว่าเกิดจาก สพฐ. ดึงหลักสูตรกลับไปพิจารณาอีกรอบพร้อมยกเลิกการจองเนื่องจากไม่ได้ตั้งงบประมาณเพื่อรองรับนั้น ว่า ขั้นตอนเบื้องต้นสำหรับผู้ที่อยากเสนอหลักสูตรอบรมครูให้กับสพฐ. ต้องส่งหลักสูตรไปยังสถาบันคุรุพัฒนา ซึ่งสถาบันคุรุพัฒนาจะดูหลักสูตรวิชาการว่าสอดคล้องกับประโยชน์ทางหลักวิชาการหรือไม่ เมื่อหลักสูตรผ่าน สถานบันคุรุพัฒนาจึงส่งมายัง สพฐ. ทางสพฐ. มีขั้นตอนในการคัดเลือกหลักสูตร 2 ข้อ คือ 1.สพฐ.จะดูเนื้อหาหลักสูตรว่าเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากต้องการเลือกหลักสูตรที่มีประโยชน์และตอบโจทย์มากที่สุด ขั้นตอนนี้ สพฐ.มีคณะกรรมการจำนวนเกือบ 100 คน ซึ่งเป็นครูตำแหน่งศึกษานิเทศก์ มาจากแต่ละกลุ่มสาระเพื่อมาตรวจและคัดเลือกหลักสูตร และ2. มีคณะกรรมการที่ตรวจสอบเรื่องการกำหนดค่าใช้จ่ายของผู้เสนอหลักสูตร โดยปกติเมื่อครูจะไปอบรม ถ้าจะเบิกเงินจากราชการจำเป็นต้องให้หัวหน้าส่วนราชการเป็นผู้อนุมัติ อีกทั้ง สพฐ.จำเป็นต้องตรวจสอบดูความเหมาะสมของการฝึกอบรม ว่าสามารถใช้สิทธิเบิกตามระเบียบการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมหรือไม่
“หลายคนอาจคิดว่า ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบอยู่แล้วทำไมสพฐ.ไม่ให้ผ่าน เนื่องจาก สพฐ.มีมาตรการประหยัดของสพฐ.อีกทั้ง สพฐ. ไม่สามารถให้สิทธิเบิกเต็มสิทธิแบบข้าราชการทั่วไป เนื่องจาก สพฐ. มีบุคลากรมาก และสพฐ. ต้องใช้เงินจำนวนมาก และมุ่งใช้งบพัฒนานักเรียนเป็นหลัก ดังนั้นการไปราชการไม่ว่าจะเป็น ผม หรือระดับผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯ ผู้อำนวยการโรงเรียน หรือครูทุกคน จะถูกกำหนดโดยมาตรการประหยัดของ สพฐ. ที่จะเบิกได้น้อยกว่าส่วนราชการอื่น ต้องเข้าใจว่า สพฐ. มีกระบวนการในการทำงานแบบนี้ จำเป็นต้องทำและตรวจสอบให้รอบคอบในการที่จะอนุมัติหลักสูตรและการเบิกเงินราชการ ว่าจะไม่ทำให้ราชการเสียหายอย่างไร” นายบุญรักษ์ กล่าว
