รื่นร่ม รมเยศ : เปรตทุสะนะโส โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

คราวก่อนโน้นบอกว่า เปรตเป็นสัตว์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะกรรมเก่าที่ตนสร้างไว้ในชาติปางก่อนจำพวกหนึ่ง ต่างจากผี (อสุรกาย) และสัตว์นรก

เปรตมี 2 ประเภท คือเปรตที่เสวยทุกข์ในเวลากลางวัน ตกกลางคืนมาเสวยสุขในวิมานดุจดังเทวดา เปรตพวกนี้เรียกว่า เวมานิกเปรต (เปรตมีวิมาน) อีกประเภทหนึ่งคือเปรตที่ได้รับแต่ความทุกข์ทรมานอดอยากปากแห้ง คอยรับผลบุญที่ญาติอุทิศให้อย่างเดียว เปรตพวกนี้เรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต

ถ้าดูตามนี้ เปรตก็คล้ายสัตว์นรกประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้นในคัมภีร์ศาสนาบางครั้งก็เรียกว่าสัตว์นรก บางครั้งก็เรียกว่าเปรต หรือเรียกปนกันทั้ง 2 ชื่อ ดังเรื่อง เปรตทุสะนะโส
ดังนี้

ตำราหลายเล่มเล่าเหตุการณ์หลังจากตรัสรู้ใหม่ๆ พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสารหลังจากฟังธรรมแล้วทรงเลื่อมใส มอบถวายสวนไผ่ให้เป็นวัดที่ประทับของพระพุทธองค์และสาวก ทรงถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แต่มิได้กรวดน้ำอุทิศกุศลผลบุญไปให้แก่บุพการีผู้ล่วงลับไป ตกดึกคืนนั้นพระองค์ได้ยินเสียงร้องโหยหวน นัยว่าเป็นเสียงเปรตมาร้องขอส่วนบุญ

Advertisement

ที่ว่าเปรตร้องขอส่วนบุญนั้น เปรตมันมิได้มายืนแลบลิ้นยาวเฟื้อยพูดว่าขอส่วนบุญหน่อยจ้า อะไรอย่างนั้นหรอกครับ ตำราทางศาสนาท่านว่า พวกมันกำลังตำนรกจ๋อมแจ๋มๆ อยู่ รู้สึกนึกผิดชอบชั่วดีอยากสารภาพความในใจของตนว่า ถ้าฉันพ้นจากนรกแล้วไปเกิดเป็นคนใหม่ ฉันจะทำบุญอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ทำอีกแล้วบาปกรรมเข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย อะไรทำนองนั้น แต่พอโผล่ขึ้นมายังไม่ทันกล่าวถ้อยคำให้ครบประโยคก็ต้องดำดิ่งลงไปตกกระทะทองแดงอีก จึงกล่าวได้เฉพาะคำแรก

เปรตตัวแรกกล่าวว่า ทุ

ตัวที่สองกล่าว สะ

Advertisement

ตัวที่สามกล่าว นะ

ตัวที่สี่กล่าว โส

แล้วจมดิ่งลงไปภายใต้เสียง ทุ.ส.น.โส. เปล่งออกมาไล่เลี่ยกันก้องกังวานไปทั่วจักรวาล พระเจ้าพิมพิสารกำลังหลับเพลินอยู่ พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว เช้าขึ้นมาจึงวิ่งแจ้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

ทั้งหมดนี้ท่านแต่งเป็นเรื่องนิทาน เรื่องจริงๆ คงไม่มีเสียงกึกก้องพันลึกอย่างนั้นแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผู้คนคงแตกตื่นโกลาหลทั่วทั้งเมืองกันแล้ว คงไม่ใช่เฉพาะพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นที่ได้ยิน

ผมว่ากษัตริย์พิมพิสารท่านคงฝันร้ายอย่างที่ฝรั่งเขาเรียกไนต์แมร์ (nightmare) มากกว่า

เมื่อกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระองค์ตรัสกับพระเจ้าพิมพิสารว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงพวกเปรตที่เคยเป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสารตั้งแต่ชาติปางก่อนมาร้องทุกข์ขอส่วนบุญ ทรงเล่าให้ฟังว่า พวกนี้ชาติก่อนได้ขโมยกินอาหารที่เขาเตรียมจะถวายพระสงฆ์ ด้วยผลกรรมอันนั้นจึงมาเกิดเป็นเปรต

เสร็จแล้วจึงบอกให้พระเจ้าพิมพิสารกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่พวกเขา ตั้งแต่นั้นมาไม่ปรากฏว่าพระเจ้าพิมพิสารได้ยินเสียงโหยหวนอีกเลย

ซึ่งไม่เฉพาะพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นที่ทรงได้ยินเสียงร้องของเปรตทุ-สะ-นะ-โส สี่ตนนั้น ว่ากันว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาผู้ครองแคว้นโกศลก็ทรงได้ยินครั้งหนึ่ง ทำให้พระองค์ตกพระทัยมาก เพราะเสียงที่ได้ยินนี้แหละเกือบทำให้พระราชาพระองค์นี้วิบัติฉิบหายไปกว่าเดิม ถ้าไม่ได้พระนางมัลลิกาเทวีแนะนำให้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เรื่องราวเป็นดังนี้ครับ

วันหนึ่งขณะพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเลียบพระนคร ขบวนเสด็จได้ผ่านไปตามถนนหลวง ประชาชนต่างก็ยืนเฝ้าถวายความจงรักภักดีชมพระบารมีเต็มสองฟากถนน ภรรยาสาวของชายฐานะยากจนคนหนึ่งยืนแอบมองขบวนเสด็จอยู่ทางหน้าต่างบ้าน บังเอิญพระราชาทอดพระเนตรเห็นใบหน้านาง นางรู้ตัวว่าพระเจ้าแผ่นดินเห็นจึงหลบ อาการที่นางหลบหายเข้าไปในห้องปรากฏแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลดุจพระจันทร์เพ็ญถูกกลุ่มเมฆกลืนหายไปฉันใดฉันนั้น

พระคัมภีร์อธิบายไว้อย่างนี้ มันอะไรจะขนาดนั้น!

แสดงว่าเจ้าหนุ่มคนยากมีเมียสวย สวยขนาดพระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นครั้งเดียวก็ทรงถูกศรรักปักทรวงเสียแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จกลับเข้าวัง แล้วใบหน้าอันงดงามของนางก็ยังปรากฏชัดแจ๋วแหววในพระทัยไม่เลือนหายไป จึงรับสั่งให้มหาดเล็กไปสืบดูว่าหญิงคนนั้นมีสามีหรือยัง ถ้ายังก็จะได้รับเข้าเป็นมเหสี

มหาดเล็กไปสืบความมากราบทูลว่า สตรีนางนั้นมีสามีแล้ว เป็นชายยากจนคนหนึ่ง ทรงสดับดังนั้นก็ทรงนิ่ง ของรักของหวงคนอื่นไม่อยากคิดแก่งแย่ง ทรงคิดว่าประเดี๋ยวก็คงจะลืมไปเอง

ที่ไหนได้ ยิ่งวันเวลาผ่านไปก็ยิ่งคิดถึงนางมาก ไม่รู้เพราะอะไร จนกระทั่งทรงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงทรงวางแผนจะเอานางมาเป็นมเหสีให้ได้ รับสั่งให้ตามชายคนยากสามีนางเข้าเฝ้าทันที

เจ้าหนุ่มนี้ถึงจะยากจน มีการศึกษาน้อย แต่ก็มีความรู้สึกไวพอสมควร นึกว่าที่พระเจ้าแผ่นดินให้ตามตัวเข้าเฝ้าคงจะเนื่องมาแต่ภรรยาสวยเป็นต้นเหตุแน่นอน พอเขาไปถึง พระเจ้าปเสนทิโกศลรับสั่งว่า

ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นมหาดเล็กคนสนิทคอยรับใช้ข้า

ใครมันจะกล้าขัดขืนเล่าครับ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ

ที่ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นมหาดเล็กคนสนิท ก็เพื่อจะหาช่องโอกาสทำโทษเขาถ้าเขาทำผิด และจะได้ ริบ เอาภรรยาทันที แต่เจ้าหนุ่มก็รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา จึงมิได้ประมาท ตั้งใจทำหน้าที่อย่างดีหาช่องให้ตำหนิมิได้ จนในที่สุดพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทนความคิดถึงนางไม่ไหวจึงตัดสินพระทัยว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เห็นจะต้องเอาด้วยกลละ จึงรับสั่งให้เขาไปเอาดินสีอรุณมาให้ทันเวลาทรงสรงสนานตอนเย็น หาไม่จะประหารชีวิต

ดินสีอรุณนี้ว่ากันว่ามีอยู่เฉพาะภพพญานาค (เห็นจะเป็นตามลุ่มแม่น้ำอะไรสักแห่ง) อยู่ไกลมาก เขาจะต้องรีบเร่งไปเอา รีบเร่งกลับมาจึงจะทันเวลาทรงสรงสนาน เขาวิ่งออกไปโดยไม่คิดชีวิต ได้ดินสีอรุณแล้ววิ่งกลับมาทันเวลาพอดีแต่เข้าเมืองไม่ได้

ประตูเมืองปิดไวกว่าปกติ เพราะพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้ปิดก่อนเวลา (กลัวว่าเขาอาจกลับมาทัน แล้วจะอดได้เชยชมน้องนางว่างั้นเถอะ)

เมื่อเขาเข้าเมืองไม่ได้ ก็รู้ทันทีว่าชะตาเข้าตาร้ายแล้ว จึงแขวนดินสีอรุณไว้ที่ประตู ประกาศให้เทพารักษ์ทราบด้วยเสียงดังว่า

ข้าแต่เทพยดาทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเป็นพยานว่า ข้าได้ทำตามพระบัญชาของพระราชาทุกประการ แต่ข้าไม่สามารถเข้าในเมืองได้ ข้าไม่ผิด

ว่าแล้วเขาก็มุ่งหน้าไปยังวัดขออาศัยพระนอน

ตรงนี้ผู้แต่งตำราเขียนเสียดสีไว้เจ็บแสบว่า ธรรมดาคนทั้งหลายเวลามีความสุข สหายก็ไม่ค่อยคิดถึงพระถึงเจ้า พอมีความทุกข์มาละก็นึกถึงพระขึ้นมาทันที (จริงครับ ไม่เถียง…อิอิ)

คืนนั้นทั้งคืนพระเจ้าปเสนทิโกศลมิสามารถข่มพระเนตรหลับลงได้ นึกว่าพรุ่งนี้แหละ ข้าจะให้คนไปตามนางมาเป็นของข้า ขณะที่คิดอกุศลอยู่นั้น พระองค์ก็ได้ยินเสียงก้องกระหึ่มน่าขนลุกขนพองเป็นอย่างยิ่ง เสียงที่ว่านั้นก็คือ ทุ-สะ-นะ-โส ทรงปลุกมหาดเล็กขึ้นมาฟังด้วย ก็ไม่มีใครได้ยินสักคน

เช้าขึ้นมาจึงทรงเรียกโหราจารย์ผู้เชี่ยวชาญมาจับยามสามตาทำนายทายทักว่ามันจะเกิดเภทภัยประการใด

โหราจารย์แกก็งงเต๊ก เคสอย่างนี้ไม่เคยพบ จึงพลิกตำราไม่ทัน มืดแปดด้าน ครั้นจะกราบทูลว่าไม่ทราบก็กลัวศีรษะหลุดจากบ่า จึงกราบทูลว่า

ขอเดชะ นิมิตนี้ร้ายแรงนัก เหตุร้ายจะเกิดแก่พระองค์และพระนครถ้าหากไม่แก้

จะแก้อย่างไรล่ะ อาจารย์

ขอเดชะ ต้องจัดบูชายัญอย่างใหญ่ยิ่ง มีนำสัตว์อย่างละ 100 มาฆ่าบูชายัญ คือช้าง 100 ม้า 100 โคผู้ 100 โคนม 100 แพะ 100 แกะ 100 ไก่ 100 สุกร 100 เด็กชาย 100 เด็กหญิง 100

การฆ่าสัตว์บูชายัญนี้เป็นของปกติในสังคมอินเดียที่มีความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

แต่คราวนี้ไม่ฆ่าเฉพาะสัตว์ หากรวมถึงฆ่าเด็กหญิงเด็กชายอย่างละ 100 ด้วย มันมิใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว เสียงร่ำไห้ของเด็กๆ ที่รู้ตัวว่าถูกนำมาเพื่อเข้าพิธีบูชายัญ เสียงโหยหวนของพ่อแม่พี่น้องญาติมิตรของเด็กๆ เหล่านั้นน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง

พระนางมัลลิกาเทวีทรงทราบเรื่อง จึงรีบเข้าเฝ้าพระราชสวามี กราบทูลชี้แจงให้รู้ผิดชอบชั่วดี ทำให้สายพระเนตรของพระองค์สว่างขึ้น ทรงรับสั่งให้ปล่อยเด็กชาย เด็กหญิง ปล่อยสัตว์ต่างๆ ที่นำมาทรงรับสั่งให้เลิกล้มพิธีบูชายัญ รีบเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามคำกราบบังคมทูลของพระนางมัลลิกาเทวี

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้พระองค์ฟัง ทรงชี้แจงถึงบาปบุญคุณโทษให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบแล้วตรัสว่า เสียง ทุ-สะ-นะ-โส ที่ทรงได้ยินนั้นมิใช่ลางร้ายอะไร แต่เป็นเสียงของสัตว์นรกที่ต้องการสารภาพบาปที่ตนทำ แล้วทรงเล่าว่า

ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีบุตรเศรษฐี 4 คน เป็นเพื่อนสนิทกัน กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนคนหนึ่งเสนอว่า พวกเรามีเงินทองใช้จนตายก็ไม่หมด เราน่าจะเสพสุขให้เต็มที่ สุขที่น่าตื่นเต้น เมื่อเพื่อนๆ ถามว่าสุขที่น่าตื่นเต้นน่ะอะไร เพื่อนคนต้นคิดกล่าวว่า ก็เป็นชู้กับเมียเขาสิ ตื่นเต้นดี ภรรยาคนอื่นที่สวยๆ มีเยอะแยะ

ดูความคิดอันพิเรนทร์ของไอ้หมอนี่สิครับ!

อีก 3 คนที่เหลือเห็นดีเห็นงามด้วย จากนั้นมาบุตรเศรษฐีเพลย์บอยทั้ง 4 ก็เที่ยวจีบเมียชาวบ้าน เอาเงินหว่าน อย่างว่า แข็งดังหินเงินง้าง อ่อนได้ดังประสงค์ ภรรยาสาวของใครต่อใครตกเป็นเมียบำรุงบำเรอความสุขของเจ้า 4 คนนี้มากมาย ไม่มีใครทำอะไรได้เพราะอำนาจเงินและอิทธิพลบารมีของพ่อพวกเขา

เมื่อพวกเขาตายไปไปเกิดในนรก เสวยผลกรรมอยู่เป็นเวลาไม่รู้กี่กัปต่อกี่กัป จนกระทั่งถึงสมัยพระพุทธกาลนี้ สัตว์นรก 4 ตัวนี้รู้สึกสำนึกในบาปกรรมที่ตนทำ อยากจะประกาศว่า ต่อไปนี้ถ้าได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกจะเลิกทำชั่วเด็ดขาด จะทำแต่ความดี แต่ไม่มีเวลาได้พูดตามต้องการ พูดออกมาได้เฉพาะคำต้น

เปรตตัวแรกต้องการพูดว่า
ทุชชีวิตะชีวิมหา เยสันโน นะทะทามหะเส
วิชชะมาเนสุ โภเคสุ ทีปัง นากัมหะ อัตตะโน
(เมื่อยังเป็นมนุษย์มีโภคทรัพย์มากมาย เราก็ไม่ได้ให้ทาน ไม่ทำให้พึ่งแก่ตัว ทำแต่ความชั่วช้าสารเลว)

ตัวที่สองต้องการพูดว่า
สัฏฐี วัสสะสะหัสสานิ ปะริปุณณานิ สัพพะโส
นิระเย ปัจจะมา-นานัง กะทา อันโต ภะวิสสะติ
(เราตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหกหมื่นปีแล้ว เมื่อไรจะสิ้นเวรสิ้นกรรมเสียที)

ตัวที่สามต้องการพูดว่า
นัตถิ อันโต กุโต อันโต นะอันโต ปฏิทิสสะติ
ตะทาหิ ปะกะตัง ปาปัง มะมะ ตุยหัญจะ มาริสา
(ไม่มีที่สิ้นสุดดอก เมื่อไหร่เล่ามันจะสิ้นเวรสิ้นกรรม ก็พวกเราทำแต่ความชั่วช้าสารเลวนี่เพื่อนเอ๋ย)

ตัวที่สี่ต้องการพูดว่า
โสหัง นูนะ อิโต คันตวา โยนิง ลัทธานะ มานุสิง
วะทัญญู สีละสัมปันโน กาหามิ กุสะลัง พะหุง
(ถ้าเราได้เกิดเป็นมนุษย์อีก เราจะให้ทานรักษาศีล จะทำบุญกุศลเป็นอันมาก)

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสดับพระพุทธเจ้าตรัสจบลงก็มีพระโลมชาติชูชัน (พูดง่ายๆ ว่าขนลุก) รำพึงในใจว่าเกือบไปไหมกู เกือบไปเกิดเป็นเปรตทุสะนะโสพวกนี้
พระพุทธองค์ทรงรู้อะไรเป็นอะไร ไม่ตรัสอะไรอีก เพียงแต่แย้มพระโอษฐ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image