ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|---|
เผยแพร่ |
สระน้ำหรือตระพัง กลางเมืองสุโขทัย ไม่ได้ขุดไว้ลอยกระทง แต่ขุดเก็บกักน้ำไว้เพื่อการบริโภคและอุปโภคในหน้าแล้ง ของพระสงฆ์ในวัดหลวงกับเจ้านายในวังหลวงยุคนั้น
เพราะเมืองสุโขทัยตั้งบนที่ดอนแล้งน้ำ
เอนก สีหามาตย์ (อดีตอธิบดีกรมศิลปากร พ.ศ. 2556-2557) มีบทความวิชาการเรื่อง “ระบบชลประทาน และการควบคุมน้ำเมืองเก่าสุโขทัย” พิมพ์ในนิตยสารศิลปากร ของกรมศิลปากร (ปีที่ 60 ฉบับที่ 5) ก.ย.-ต.ค. 2560 (หน้า 14-27) แต่เพิ่งพิมพ์เสร็จออกเผยแพร่เมื่อมกราคม 2561 นี้เอง (ขอบคุณฝ่ายเผยแพร่ กรมศิลปากร ที่กรุณาส่งให้อ่าน) สรุปอย่างนี้
น้ำในตระพังกลางเมืองสุโขทัย เป็นเครื่องอุปโภคและบริโภคของพระสงฆ์ และพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดจนขุนนางข้าราชการระดับสูง
เพราะเมืองสุโขทัยตั้งอยู่บนที่ดอน แล้งน้ำในหน้าแล้ง แต่น้ำหลากรุนแรงในฤดูฝน จึงพัฒนาระบบควบคุมน้ำอย่างดีเยี่ยม เพื่อเก็บกักน้ำไว้ยามแล้ง
แหล่งน้ำธรรมชาติอยู่บนทิวเขาด้านทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัย สร้างคันดินขวางทางน้ำในหุบเขา เพื่อกักเก็บน้ำป่าที่ไหลจากทิวเขา
เจาะช่องทางน้ำไหลเป็นลำคลอง เรียกคลองเสาหอ มีแนวหินก่อเป็นทางน้ำไหล ทำประตูน้ำเปิด-ปิดได้ตามต้องการ
ชักน้ำไหลเข้าคูเมืองสุโขทัยด้านทิศตะวันตก แล้วกระจายทั่วทุกด้าน มีประตูน้ำชักน้ำไปเข้าตระพังต่างๆ ในเมือง เช่น ตระพังเงิน, ตระพังทอง, ตระพังตะกวน, ตระพังสอ เป็นต้น
นอกจากนั้นยังกระจายน้ำเข้าบ่อกลมๆ กรุผนังด้วยศิลาแลง เก็บน้ำใช้ให้หมู่ขุนนางในเมือง
ผังเมืองสุโขทัยเพื่อการจัดการน้ำ
ทั้งหมดที่ เอนก สีหามาตย์ บรรยายไว้ในนิตยสารศิลปากร ของกรมศิลปากร สอดคล้องกับสิ่งที่ อ. ศรีศักร วัลลิโภดม ค้นคว้าวิจัยไว้หลายสิบปีมาแล้ว ดังนี้
“ผังเมืองสุโขทัยเกิดขึ้นจากโครงสร้างทางการจัดการน้ำที่สลับซับซ้อน โดยใช้พื้นที่ลาดนำน้ำจากภูเขา, โซกเขา และซอกเขา เข้ามาใช้ในการอุปโภคบริโภค ทำการเกษตร และการป้องกันน้ำท่วมท้นในเวลาน้ำหลาก”
อ. ศรีศักร วัลลิโภดม เขียนบอกไว้ในหนังสือ สร้างบ้านแปงเมือง (สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2560 หน้า 124)
สรุป ตระพังกลางเมืองสุโขทัย ไม่ได้ขุดไว้ลอยกระทง
ถ้าจะเล่นลอยกระทงในตระพังเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นประจำทุกปีของคนยุคนี้ ก็ควรบอกเล่าความจริงทางประวัติศาสตร์อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกปีมิได้ขาดให้สาธารณชนเข้าใจทั่วถึงกัน ไม่ควรตีเนียนทำลืมๆ จนส่งผลเสียต่อการศึกษาทั้งระบบ
ปัญหาอยู่ที่ระบบราชการไทยยกตนเป็น “นาย” ของมวลมหาประชาชน ย่อมไม่ทำอะไรเพื่อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่