เปิดวิชั่นพรรคการเมือง พลิกฟื้นเศรษฐกิจ-ลดเหลื่อมล้ำ

หมายเหตุ – สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดเวทีนโยบายพรรคการเมืองในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเชิญตัวแทนพรรคการเมืองนำเสนอนโยบายของพรรค

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

พรรคการเมืองที่จะพาประเทศไปข้างหน้าหลังเลือกตั้งได้ อย่างน้อยต้องมี 2 ข้อ ได้แก่ 1.หลักคิดในการพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน 2.ต้องมีกลไกขับเคลื่อนประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วม หลายพรรคพูดถึงนักการเมือง พูดถึงระบบราชการ แต่ยังไม่พอ เพราะภาคประชาชนและเอกชน คืออีกภาคส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

Advertisement

หากพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนหลักตั้งรัฐบาล กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาประเทศรวมถึงเศรษฐกิจคือ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่จะต้องเป็นนิว กรอ. ที่ไม่ใช่แค่ประชุมในห้องแอร์ สั่งการแล้วจบ แต่ต้องขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิผลและผลสัมฤทธิ์ขึ้นจริง ได้ฟังสัมภาษณ์นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พูดถึงการลดค่าไฟฟ้าแก้ปัญหาได้ หากเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปร่วมคิด ซึ่งเห็นด้วย หากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล นายจุรินทร์ได้เป็นนายกฯ จะเชิญเข้าไปช่วยกันแก้ปัญหาด้วย

หลักคิดของพรรคประชาธิปัตย์ ในการนำพาประเทศเดินไปข้างหน้า ต้องอยู่ในกรอบยุทธศาสตร์สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ

สร้างเงินให้ทั้งคนไทยและประเทศด้วยการประกันรายได้ ไม่ว่าจะประกันรายได้จากการส่งออก หรือการท่องเที่ยว ให้ความสำคัญทั้งเรื่องเศรษฐกิจฐานราก เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำและโครงสร้างพื้นฐาน

Advertisement

พรรคประชาธิปัตย์มีความชัดเจนคือ 1.ธนาคารหมู่บ้าน 2 แสนล้านบาท 2.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 1 แสนล้านบาท 3.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2 แสนล้านบาท 4.กองทุนสตาร์ตอัพและเอสเอ็มอีต้องมีแต้มต่อ 3 แสนล้านบาท รวมถึงนโยบายเพิ่มเติมอีก 10 กว่าข้อ ที่มีมูลค่าอีก 2 แสนล้านบาท รวมเป็น 1 ล้านล้านบาท โดยต้องเติมเม็ดเงินตรงนี้ก่อน เศรษฐกิจจึงจะขับเคลื่อนโตจาก 3% เป็น 5% ได้

ส่วนการสร้างคนนั้น จะสร้างด้วยการศึกษาและระบบสาธารณสุข ภาคเอกชนจะต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และที่สำคัญต้องใช้ตลาดนำการผลิต ต้องมีนโยบายเรียนฟรีถึงปริญญาตรีในสาขาอาชีพที่ตลาดต้องการ

ส่วนการสร้างชาติมี 3 ประการคือ 1.ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.ประชาธิปไตยสุจริต ไม่เช่นนั้นจะเป็นต้นทุนกับภาคธุรกิจ และ 3.ประชาธิปไตยท้องอิ่ม ประเทศไทยหลังจากนี้ต้องเดินด้วยประชาธิปไตย คนที่จะมานำประเทศต้องเป็นนักประชาธิปไตย มีประสบการณ์ทางบริหารรัฐกิจตัวจริง และมีประสบการณ์ทั้งการถูกตรวจสอบการขับเคลื่อนบริหารประเทศในรัฐสภาที่ต้องครบถ้วนสมบูรณ์แบบ

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ
และประธานคณะกรรมการนโยบาย พรรคเพื่อไทย (พท.)

ใ นด้านนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นกำลัง หรือการวางแผนในอนาคต วิธีคิดในนโยบายพรรคคือ 1.การเรียนรู้ตลอดชีวิต เรียนเพื่อหารายได้ โดยพื้นฐานประเทศไทยมีแพลตฟอร์มต่างๆ ที่อยู่ในระบบดิจิทัลนำมาใช้ โดยจะแบ่งเป็น 4 ตอน ได้แก่ 1.วัดความสามารถของประชาชน 2.เรื่องโปรแกรมบทเรียน หรือคอร์สแวร์ (Courseware) แบ่งการเรียนเป็น 2 ส่วนคือออนไลน์ และออฟไลน์ โดยส่วนของออนไลน์จะมีเว็บไซต์สำหรับเรียนในประเทศ และต่อยอดการเรียนต่างประเทศ 3.เสริมสร้างการเรียนไม่สิ้นสุดด้วยฐานข้อมูลช่วยเพิ่มทักษะเพื่อรีสกิลและอัพสกิล และ 4.การหารายได้

ทั้งหมดเรียกแพลตฟอร์มนี้ว่าเป็นแนวคิด Learn to Earn จึงเป็นการสนับสนุนทั้งทุนระยะยาวรูปแบบเดิม และทุนระยะสั้น หรือกิจกรรมเสริมสร้างทักษะให้ผู้เรียนสามารถนำไปสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ซึ่งเป็นระบบที่ไม่ใช่รูปใหม่ ประเทศสิงคโปร์ได้ทำมาแล้ว คือ สกิลฟิวเจอร์ที่ประสบความสำเร็จ โดยพรรคจะผลักดันให้เกิดขึ้น

วิธีการคือจะสร้างคนตั้งแต่เด็ก ไม่จำกัดอายุ เพราะการเรียนรู้สามารถเรียนได้ตั้งแต่เด็ก เนื้อหาครอบคลุมถึงผู้ใหญ่สามารถเรียนเพื่อรีสกิลและอัพสกิลตนเองได้ ซึ่งข้อมูลการเรียนสามารถเสริมรายได้กับงานที่ทำผ่านระบบไอทีผ่านคอมพิวเตอร์

ขณะที่เรื่องความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาใหญ่ เศรษฐกิจจะดีขึ้นตั้งโครงสร้างเศรษฐกิจฐานรากจนถึงเศรษฐกิจด้านบน สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องยกระดับจากล่างขึ้นบน เช่น เกษตรกรจะสามารถเพิ่มรายได้ 3 เท่า ค่าแรงที่ตั้งเป้าหมายไว้ นั่นคือเป้าหมายที่ทำด้วยกันกับไตรภาคี ซึ่งได้ปรึกษาหารือกับภาคเอกชนแล้ว หากธุรกิจไม่โต ประเทศก็ไม่โต เพราะพรรคถือว่ารัฐคือผู้ถือหุ้น 20% ของกำไรเอกชน จึงเท่ากับเป็นผู้ถือหุ้นที่จะต้องมีบทบาทมีส่วนได้ส่วนเสียและต้องทำงานให้กับภาคเอกชน ฉะนั้นต้องทำให้ภาคธุรกิจเติบโต และเติบโตด้วยกัน

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญและเชื่อว่าเป็นอุปสรรคมาโดยตลอดก็คือ 1.ภาครัฐที่เป็นอุปสรรค ในฐานะพรรคเพื่อไทย จะพลิกบทบาทจากรัฐอุปสรรคมาเป็นรัฐสนับสนุนและขับเคลื่อนทุกกลไก เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตไปพร้อมกันและมีประสิทธิภาพ 2.พรรคจะร่วมกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศ เจรจากับต่างประเทศเพื่อหาตลาดและการลงทุน เสริมจุดแข็งขจัดจุดอ่อน 3.สนับสนุนการผลิตใน 4 ด้าน การลงทุน การเงิน ต้นทุนพลังงาน และเพิ่มผลิตภาพ

4.ลดภาระ-พัฒนาโครงข่ายการขนส่งทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำรวมถึงลดต้นทุน 5.ขจัดอุปสรรคกฎหมาย-ขั้นตอน และ 6.สร้างธุรกิจใหม่(New Business Zone) ส่งเสริมนวัตกรรมการใช้เทคโนโลยีนำร่อง 4 แห่ง อาทิ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่

ศิริกัญญา ตันสกุล
รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.)

จากพรรคก้าวไกลมีเป้าหมายเรื่องของเศรษฐกิจไทย คือ 1.การวางรากฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง หรือ Firm Ground 2.สร้างกติกาและกลไกภาครัฐเพื่อเศรษฐกิจที่เป็นธรรม หรือ Fair Game
Firm Ground เรื่องแรกคือเอสเอ็มอี เพราะเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจ ทั้งผู้จ้างงานและผู้ผลิตที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีฐานรากมั่นคง ดังนั้น จึงต้องเติมแต้มต่อให้เอสเอ็มอีสู้กับทุนใหญ่ได้ โดยการให้รัฐออกโปรโมชั่นหวยใบเสร็จ ที่ให้นำใบเสร็จไปแลกสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ ภาครัฐเองก็จะได้ข้อมูลของเอสเอ็มอีเพื่อสามารถวิเคราะห์ส่วนเสริมได้ง่ายขึ้น รวมทั้งการตัดต้นทุน โดยการลดภาษีนิติบุคคล ให้เป็นอัตราเฉพาะสำหรับเอสเอ็มอี ติดอาวุธให้เงินอุดหนุน เสริมสภาพคล่อง และสุดท้าย ควรมีสภาที่เป็นของเอสเอ็มอีเอง เหมือนสภาหอการค้า เพื่อเป็นตัวแทนในการไปนั่งเป็นคณะกรรมการต่างๆ ต่อรอผลประโยชน์ของตัวเองได้

ส่วนต่อมาคือ หยุดแช่แข็งชนบทไทย ปัจจุบันเกษตรกรไทยอายุเฉลี่ย 60 ขึ้นไป ดังนั้นต้องมีทางเลือกให้เกษตรกรไปทำอย่างอื่นได้ด้วยนโยบายปลอดหนี้เกษตรกรไทย ไม่ใช่การยกหนี้ให้เปล่าๆ แต่ให้มีบริษัทเอกชนเข้ามาดูแลเรื่องการใช้ประโยชน์ของที่ดิน เพื่อให้ลดหนี้และคืนหนี้ที่เหลือด้วย และให้เกษตรกรมีที่ดินเป็นของตนเอง เพื่อนำไปใช้เป็นสินทรัพย์ให้การต่อยอดอาชีพอื่นๆ ได้

Fair Game คือกฎหมายการแข่งขันทางการค้า จำเป็นต้องมีการยกเครื่องขนานใหญ่ เพื่อให้การแข่งขันทางการค้าเป็นธรรมกับรายเล็กรายย่อย ส่งเสริม อุตสาหกรรมเครื่องดื่มเสรี โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากเป็นหนทางที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรไทยได้ เรื่องของค่าไฟฟ้าก็ต้องเปิดเสรีธุรกิจไฟฟ้า ประเทศสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เดินหน้าไปแล้ว และเวียดนามกำลังตามไป เหลือแต่ประเทศไทย เรื่องไฟฟ้าเสรีผู้ประกอบการสามารถเลือกได้ จะใช้บริการจากที่ไหน และยังสามารถพัฒนาให้เป็นพลังงานทางเลือกใหม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ได้อีกด้วย

นอกจากนี้จะยกเครื่องภาครัฐ ตั้งแต่การจัดสรรงบประมาณฐานศูนย์ (Zero-based budgeting) การขอใบอนุญาต ต้องเป็นแอ๊กเคาต์เบส แอ๊กเคาต์เดียว สามารถเข้าถึงได้ทุกใบอนุญาตทันที ข้อมูลที่ภาครัฐบาลมีอยู่แล้ว ภาครัฐก็ต้องเลิกขอจากบริษัท ให้ดึงจากกระทรวงพาณิชย์เลย แถมช่วยลดขั้นตอนการขออนุญาตได้ด้วย สุดท้าย คือการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพื่อระเบิดพลังทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้

สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นจุดแข็งของประเทศ วันนี้ปัญหาคือภาคการเกษตรมีแรงงานเกี่ยวข้องจำนวนมาก แต่ไทยยังขายสินค้าเกษตรแบบดิบ สิ่งที่ พปชร.จะทำคือการยกระดับสินค้าเกษตร อาทิ ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) การพัฒนาเรื่องการเกษตรชีวภาพ ไบโอเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และความยั่งยืน

การนำสินค้าเกษตรไปสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้ไทยเป็นครัวของโลก จะต้องมีการสร้างแพลตฟอร์มด้านอาหารและสินค้าเกษตรในระดับโลก เช่น นโยบาย From Farm to Table ที่เป็นจุดแข็ง และสอดรับกับซอฟต์เพาเวอร์การท่องเที่ยวของประเทศไทย

สินค้าเกษตรไม่เพียงแค่เรื่องอาหารแต่ยังรวมถึงเรื่องพลังงาน คือการเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจเป็นไบโอเจ็ต นอกจากนี้ควรใช้จุดแข็งในการเป็นประเทศเกษตรกรรมดำเนินการเรื่องคาร์บอนเครดิต เพื่อเป็นอีกช่องทางเพิ่มรายได้ให้ประเทศ ทั้งหมดนี้ หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลจะเร่งขับเคลื่อนในทันที เพื่อฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาแข็งแกร่ง และสร้างรายได้ให้กับประชาชน

ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล นโยบายด้านเศรษฐกิจหลักๆ ที่จะบูรณาการและทำทันที คือ 1.การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศที่ตกลงมาในอันดับต่ำที่สุดคืออยู่ที่ 33 จากอันดับที่ 25 ในปี 2562 ต้องมีการแก้ไขในส่วนนี้ โดยเฉพาะการแก้อันดับประสิทธิภาพของภาครัฐซึ่งตกลงไป 11 อันดับ และเรื่องของเศรษฐกิจตกไป 13 อันดับ ฉุดให้ความสามารถของภาคธุรกิจตกลงไป 9 อันดับ

ดังนั้นต้องพัฒนามิติความยั่งยืน โดยการนำโมเดลเศรษฐกิจบีซีจีเป็นกรอบของการผลักดันนโยบาย ควบคู่มิติใหม่คือ อีเอสจี เพราะเศรษฐกิจของประเทศมีทั้งมิติของกลไกส่งออกและการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์หลัก ทั้ง 2 กรอบนี้จะเป็นตัวประคับประคองในการทำทิศทาง

2.ส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์และการท่องเที่ยวชุมชน เป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญของรัฐบาลในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยการท่องเที่ยวที่ดีจำเป็นต้องเชื่อมโยงซอฟต์เพาเวอร์และเศรษฐกิจฐานราก อาทิ ซอฟต์เพาเวอร์สายศรัทธา อาหาร เป็นต้น 3.ต่อยอดโครงการอีอีซีให้เกิดประสิทธิภาพ และบรรลุผลตามที่เริ่มไว้ และเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้ ตะวันตก และเหนือ เพื่อเป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะอีอีซีไม่เพียงยกระดับอุตสาหกรรม แต่จะดึงดูดการลงทุน นักลงทุนเข้ามาในประเทศ

ทันทีที่พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ที่นำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจของประเทศ ให้ก้าวข้ามผ่านทุกวิกฤต วันนี้ขอแสดงความมุ่งมั่นว่า พรรคพลังประชารัฐมีความพร้อม ทั้งในด้านนโยบายและบุคลากรที่มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง พร้อมแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image