‘พล.อ.ประยุทธ์’ เปิดอก ชิงนายกฯ ขออีก 2 ปี

‘พล.อ.ประยุทธ์’เปิดอก ชิงนายกฯ-ขออีก 2 ปี

หมายเหตุ – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์พิเศษเปิดใจผ่าน “เครือมติชน” ถึงการเดินหน้าต่อทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

⦁อยากให้นายกฯได้เล่าถึงการทำงานในช่วงที่ผ่านมา

การทำงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นจนถึงวันนี้ก็แปดปีแล้ว แต่เป็นคนละสถานะกัน วันนี้ก็เข้ามาทำงานทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและเราเข้ามาทำงานต่ออีก 4 ปี และวันนี้ถึงเวลาที่จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ เคารพกติกาและเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าสิ่งที่เข้ามาทำงานนั้นทำเพื่อประชาชนเพื่อประเทศชาติ ตนเป็นทหารมาตลอดชีวิต สิ่งสำคัญที่สุดคือการให้ความสำคัญกับความมั่นคง ซึ่งแต่ก่อนนั้นเป็นเรื่องความมั่นคงทางด้านทหารเรื่องของเขตแดนและชายแดน

รวมทั้ง กรณีที่เกี่ยวข้องกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ซึ่งถือว่ามีข้อมูลจำนวนมากที่นำมาใช้ในการบริหารในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง เราทิ้งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ วันนี้หลายอย่างมีการเปลี่ยนแปลง โลกเปลี่ยนแปลงไปมีความวุ่นวาย มีความสับสนอลหม่าน มีการแบ่งแยกเป็นขั้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจมองเป็นเรื่องไกลตัว โดยเฉพาะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ทุกอย่างก็พร้อมที่จะมีปัญหาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเอาเรื่องความมั่นคงมาเป็นหลักในการทำงานควบคู่ไปกับงานด้านเศรษฐกิจและสังคม อะไรที่เกี่ยวข้องกับประชาชนภายในประเทศก็ต้องนำมาพิจารณาควบคู่กันไป

Advertisement

⦁การปรับตัวจากการเป็นข้าราชการประจำ ดูแลงานด้านความมั่นคงมาเป็นนักการเมือง และเกี่ยวข้องกับการเมืองมากขึ้นจะต้องมีการปรับตัวอย่างไร

ก็ต้องมีการปรับตัวมากยิ่งขึ้น ทหารนั้นมีความเป็นระเบียบวินัย มีกำลังพลหลายแสนคน ตนในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกองทัพบกมีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายแสนคน คิดว่าทำได้ดีตลอดมาในการให้กำลังพลมีความเข้มแข็งทางร่างกาย และจิตใจ มีความพร้อมรบ ซึ่งถือเป็นหน้าที่ในยามปกติของทหาร และหากมีสถานการณ์ไม่ปกติก็ต้องเตรียมใช้กำลังเพราะถ้าเราเตรียมความพร้อมไว้ไม่เพียงพอถึงเวลาที่จะต้องใช้กำลังก็จะมีปัญหา มีความขาดแคลน และอันตรายต่อกำลังพลและส่งผลกับการควบคุมสถานการณ์ในเวลานั้นๆ เป็นเรื่องศักยภาพของประเทศซึ่งขอย้ำว่าศักยภาพของประเทศไทยจะต้องพร้อมทุกอย่าง ทั้งประเด็นเรื่องของความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ รวมทั้งสถานการณ์วิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ที่ผ่านมาไม่มีใครเคยเจอแบบผม คือทั้งสถานการณ์โควิด ซึ่งถือเป็นโรคอุบัติใหม่ เรื่องของความขัดแย้งของภูมิรัฐศาสตร์โลกก็เกิดขึ้นในสมัยของผม รวมทั้งยังมีสงครามความขัดแย้งเกิดขึ้น ซึ่งอย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเพราะโลกปัจจุบันทุกอย่างเชื่อมโยงกันไปทั้งหมดทั้งเรื่องการค้าการลงทุน ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน วันนี้เมื่อมีการแยกกลุ่มแยกฝ่ายก็ต้องนำมาคำนวณในประเด็นของความมั่นคงด้วย ต้องพิจารณาในเรื่องของการวางตัวและทำให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย รวมถึงอาเซียนด้วย เพราะมีหลายกลุ่มพยายามที่จะเข้ามาในอาเซียนประเด็นในเรื่องของความมั่นคง ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวยอมรับว่าเป็นเรื่องที่กังวล

Advertisement

ในเรื่องการปรับตัวให้เป็นพลเรือนนั้นคิดว่าไม่ต้องปรับตัวมากนัก เพราะมีความจริงใจ มีความซื่อตรง และความซื่อสัตย์นั้นผมมีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่ต้องปรับตัวก็คือการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งไม่ง่ายนักเพราะเรามีถึง 21 กระทรวง มีรัฐมนตรี 36 คน มาจากหลายพรรคการเมือง ซึ่งถือเป็นกลไกประชาธิปไตยที่ผมยอมรับ

การเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นคนที่สามารถที่จะพูดคุยเจรจาหรือหารือกับทุกกระทรวงให้ได้ ซึ่งมาจากหลายพรรคการเมือง เขาก็มีหน้าที่ของเขาตามพันธกิจ แต่เมื่อผมมีหน้าที่ต้องมองในภาพกว้างและมองยุทธศาสตร์ชาติว่าจะเดินหน้าประเทศไปอย่างไรในทุกมิติ ก็ต้องหาวิธีการที่จะพูดคุยกับทุกคนเพราะเป็นส่วนงานของเขาที่รับผิดชอบ เพียงแต่จะทำอย่างไรให้งานของเขาเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ

และสิ่งแรกที่ได้บอกไว้คือการที่เราจะทำงานด้วยกันเราต้องมองที่ประเทศชาติมาก่อนเสมอ เพราะประเทศประกอบด้วยประชาชน และพื้นที่ ประเทศคือประชาชน และแผ่นดินทั้งหมดคือประเทศของเรา จะทำอย่างไรให้คนซึ่งมีความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาชีพ รายได้ดีขึ้น เพราะทุกคนมีครอบครัวก็อยากมีการเติบโต เราต้องหาวิธีทำให้การเติบโตมีคุณภาพที่เป็นสิ่งสำคัญ ตนจึงใช้วิธีบริหารราชการโดยการพูดคุยกัน

แต่ผมยืนยันว่าไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมมีหลักการของผม มือซ้ายผมต้องมีกฎหมายมีกรอบต่างๆ ทั้งกรอบวินัยการเงินการคลัง ระบบงบประมาณ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการตรวจสอบมีมากและผมไม่เคยไปก้าวล่วงการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น และต้องมาเตือนในฝั่งด้านมือขวาของผมคือรัฐบาลว่าทำอะไรจะต้องถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ผมรับผิดชอบได้แต่เพียงว่าผมกลั่นกรองโครงการที่ทำมาตาม

นโยบาย ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและดูว่าถูกต้องหรือผิดกฎหมายอะไรหรือไม่ ถ้าไม่ผิดก็นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) จากนั้น ครม.ทั้ง 36 คน ก็จะมาพิจารณาและสั่งร่วมกัน โดยการประชุมแต่ละครั้งจะใช้เวลายาวนาน 5-6 ชั่วโมง ทุกคนมีสิทธิที่จะถามได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นงานของกระทรวงใดก็ตาม แม้บางอย่างจะอนุมัติเห็นชอบในหลักการแล้วแต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตควบคู่กันไปด้วย จากนั้นก็เป็นขั้นตอนการนำงบประมาณออกมาใช้จะพลาดไม่ได้

และผมย้ำเสมอว่าจะเป็นผู้เซ็นอนุมัติให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาใน ครม. ไม่ใช่ว่าจะอนุมัติโครมๆ หรืออนุมัติอย่างไรก็ได้ ผมไม่ทำเช่นนั้น การใช้จ่ายงบประมาณทุกโครงการจะต้องโปร่งใสมีประสิทธิภาพและตรวจสอบได้และเมื่อแต่ละกระทรวงรับโครงการไปแล้วจะต้องไปดำเนินการให้ถูกต้องโดยสุจริต ถ้ามีเรื่องถูกฟ้องร้องมาก็ต้องรับผิดชอบตามคำที่ว่าต้องตรวจสอบได้และยอมรับในกติกาข้อกฎหมายทุกประการ จะเห็นว่าก็มีอยู่บ้างที่มีข้อสงสัยหรือมีผู้ไปฟ้องร้อง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ได้กำชับไปทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่ว่าจะปัดความรับผิดชอบแต่เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่ต้องไปดำเนินการทุกอย่างเพราะผมไปสั่งขนาดนั้นไม่ได้ เนื่องจากมีการแบ่งอำนาจไว้เป็นขั้นตอนอยู่แล้ว

หากมีใครทำความผิดผมก็ต้องนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบมีการดำเนินคดีมีการสอบสวน และพร้อมให้ความเป็นธรรม และทุกคนหากศาลยังไม่ตัดสินก็ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมายที่เป็นคุณกับประชาชน สามารถต่อสู้ได้ตามขั้นตอน

ก่อนหน้านั้นที่เป็นช่วงก่อนก็ไม่เคยสั่งอะไร ใช้อำนาจตามปกติ เพียงแต่สั่งการในสิ่งที่ยังไม่จบให้มันจบและแก้ปัญหาในสิ่งที่แก้ไม่ได้ ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน เป็นอำนาจในช่วงนั้น ซึ่งหมดไปนานแล้วและขอร้องว่าวันนี้ให้เลิกพูดกันเสียทีเอามาพูดกันเฉพาะ 4 ปีหลัง ว่าผมมาจากกระบวนการอะไรถูกต้องตามกระบวนการกฎหมายนั้นหรือเปล่า

⦁การทำงานในระบบรัฐบาลผสมกับพรรคการเมืองมีความหนักใจหรือมีบทเรียนอะไรเกิดขึ้นบ้าง

อะไรที่มากกว่าคนคนเดียวทำ มีปัญหาทั้งสิ้น มีคนที่ 2-3 ก็มีปัญหาทั้งนั้นเพราะทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ทุกคนก็ต้องมีการพูดคุยกันว่าอย่างไรทำได้หรือไม่ได้ ซึ่งทุกคนก็รับไปพิจารณาและปรับแก้มาให้ถูกต้อง มีการทบทวนและนำเข้าสู่การพิจารณาใหม่ทุกอย่างก็เดินหน้าต่อไปได้ แม้แต่การจัดทำงบประมาณการเงินการคลังก็ต้องดูอย่างรอบด้าน ระบบการเงินการคลังและงบประมาณทุกด้านจะมีสัดส่วนทั้งหมด ไม่ใช่ว่าจะไปใช้อะไรก็ได้ โดยเฉพาะงบใช้จ่ายในการลงทุน 20% ของงบประมาณ ถ้าทำให้ตกเมื่อไหร่ประเทศชาติก็ตกทันที อยู่มา 4 ปีก็ทำให้ทุกอย่างอยู่ในวงเงิน 20% รวมทั้ง การหาวิธีการใหม่ในการร่วมทุนกับภาคเอกชนหรือที่เรียกว่า พีพีพี ยืนยันว่าเราไม่ยอมเสียเปรียบให้ใครอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมาพูดคุยกัน

สิ่งที่หวังคือทุกสิ่งก็มีความตั้งใจ และปรารถนาดีอยากจะเสนอข่าวที่ถูกต้อง แต่บางครั้งความขัดแย้งค่อนข้างสูงทุกคนจึงสนใจไปที่เรื่องของความขัดแย้งแต่ไม่สนใจงานโครงสร้างที่รัฐบาลได้ทำทั้งหมด มันเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนอย่างไร มันต้องช่วยกันทั้งสองด้าน หน้าที่ของสื่อคือการรับฟังความเห็นของประชาชนเอาประเด็นสำคัญมาถกแถลงสื่อสารและวิเคราะห์ แต่การวิเคราะห์ต้องเอาหลักการที่มีไปช่วยวิเคราะห์กันด้วยจะได้มีน้ำหนักทั้งสองด้าน ประชาชนจะได้เรียนรู้ประเทศจะต้องพัฒนาด้วยคน และประโยชน์จากการพัฒนานั้นด้วย

วันนี้บัตรสวัสดิการประชารัฐไม่ใช่รัฐสวัสดิการ ต้องเข้าใจความแตกต่าง ถ้าเป็นเรื่องของรัฐสวัสดิการคือรัฐดูแลทั้งหมดซึ่งใช้กับบางประเทศที่มีรายได้เพียงพอ ทุกอย่างฟรีทั้งหมดเพราะเขามีเงินแต่เราไม่ได้มีแบบเขา เราก็ต้องใช้วิธีการที่เหมาะสม มาตรการต่างๆ ที่ออกมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพวันนี้ ถือว่าทำได้ดีแล้ว บางอย่างก็ช่วยเหลือดูแลคนที่มีรายได้น้อย บัตรสวัสดิการประชารัฐถ้าจะให้ทุกคนงบประมาณไปไม่ได้จึงต้องหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้เข้าถึงโอกาส และความเท่าเทียม แต่รัฐบาลก็ได้สร้างโอกาสให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม เพื่อที่ทุกคนจะใช้ประโยชน์อย่างเท่าเทียม เป็นงานโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ

รวมทั้ง โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โครงข่ายโทรคมนาคมซึ่งรัฐบาลได้ทำไปมากแล้ว เรื่องของดิจิทัล บล็อกเชน เรื่องเงินดิจิทัล เพื่อทำความเข้าใจเป็นพื้นฐานให้รู้ไว้ ส่วนรายละเอียดก็ต้องปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลมีคนเก่งอยู่มาก ร่วมกันพิจารณาว่าจะสามารถทำได้จริง และได้ประโยชน์กับประชาชนหรือไม่ เหมือนกับที่ต่างประเทศทำต้องดูถึงความพร้อมในด้านต่างๆ การทำตามก็ต้องคอยดูด้วยบางประเทศก็ประสบความสำเร็จ แต่บางประเทศก็ไม่ใช่ อาจล้มเหลวบ้าง ยืนยันว่าเราจะต้องไม่ล้มเหลว เนื่องจากเรามีงบประมาณอยู่จำนวนจำกัด เพราะนี่คือความเสี่ยง หลายคนอยากจะได้เหมือนกับต่างประเทศ

เราต้องปรับตัวให้พร้อมก่อน การทำงานตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็เพื่อเตรียมให้เกิดความพร้อมเตรียมประชาชนให้พร้อมรวมทั้งระบบโครงสร้างต่างๆ ที่ผ่านมาก็ได้ทยอยใช้มาแล้วโดยเฉพาะในเรื่องของกายภาพ ส่วนเรื่องเงินดิจิทัลก็ค่อยปรับ วันนี้ก็เริ่มใช้ E-wallet ถุงเงิน เป๋าตังจ่ายเงินทางดิจิทัล ก็ถือว่าเป็นระบบที่ปลอดภัยคนไทยใช้กันทั่วประเทศ ซึ่งไม่อยากจะคุยว่าเก่งกว่า หรือทำดีกว่าเพียงแต่วันนี้เราพร้อมที่จะทำให้มากขึ้นและดีขึ้น ก็กลายเป็นประเด็นเพราะทุกคนแข่งขันกันทั้งหมด แต่จะบอกว่าผมนไม่ได้ทำอะไรเลยมันไม่ใช่ บางอย่างอาจจะช้าแต่ก็เกิดขึ้นมาแล้วและมีอนาคตที่ดี

การเป็นผู้นำที่ดีจะต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย และต้องเป็นผู้นำในการฝ่าฟันวิกฤตให้ได้ เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าบางครั้งเข้ามาไม่ใช่เรื่องเดียว ที่ผ่านมาเราไม่ได้ประสบปัญหาแต่เฉพาะในเรื่องของโควิด-19 เรายังมีสถานการณ์ทางบ้านชายแดนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผมในฐานะผู้นำต้องกล้าตัดสินใจ ซึ่งก็มีประสบการณ์ส่วนตัวในการตัดสินใจเพราะเคยอยู่ในสนามการสู้รบมา ผ่านประสบการณ์มามากพอสมควร รู้ว่ามันน่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างต้องมีการประเมินสถานการณ์ในอนาคต
วันนี้อาจจะมีคนดีมากกว่าผมก็ได้ แต่ถามว่าได้มีการคิดในเรื่องการรับมือของปัญหา รวมทั้ง เรื่องของ โอกาสของประเทศไทย อนาคตมาบ้างหรือยัง

ถ้าวันนี้เราพูดกันแต่เพียงว่าจะให้ จะแจก อย่าลืมว่ามีหลายมิติที่จะต้องมองการเตรียมพร้อม ผมต้องการให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งการลงทุน ดินแดนแห่งการท่องเที่ยว และดินแดนแห่งความสุข ที่ทุกคนในโลกอยากจะมาที่ประเทศไทย มาเที่ยวมาใช้จ่าย หลายคนก็อยากจะได้รับการช่วยเหลือแบบรวดเร็ว แต่รัฐบาลจะต้องพิจารณาถึงการช่วยเหลือว่าจะให้คนส่วนไหนก่อน ต้องให้คนที่เดือดร้อนมากที่สุด ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนต้องดูงบประมาณที่มีอยู่ด้วย จึงมีการทยอยการช่วยเหลือออกมา

แต่หลายคนถามว่าทำไมเราไม่ให้ทั้งหมดเราทำไม่ได้ เพราะถ้าคำนวณเป็นตัวเลขแล้ว 50 ล้านคน แค่ให้คนละ 1,000 บาท ก็ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ก็ต้องใช้บัตรสวัสดิการ หรือโครงการต่างๆ ที่ไปสร้างความเข้มแข็งให้ รัฐบาลต้องดูว่าทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนมีความแข็งแรงด้วยตัวเอง ถ้าไปแจกเงินก็จะทำให้เสียตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นจะคิดไม่ออกถ้าได้เงินไปตอนนี้ ก็จะไปใช้จ่ายในสิ่งที่อยากจะได้หรืออยากจะใช้ เรื่องนี้ผมไม่ได้ว่าใคร แต่เชื่อว่าเงินจะหมดลงทันที และก็จะเคยชินว่าวันข้างหน้าต้องได้มากกว่านี้ โดยลืมคิดว่าจะต้องพัฒนาตัวเองอย่างไรถือเป็นอันตรายที่สุด และเชื่อว่าทุกคนชอบใครให้อะไรมาก็ชอบ แต่อย่าลืมว่าจะทำให้ล่มสลายทั้งระบบแล้วจะเดินต่อไปอย่างไร ผมไม่ได้ไปว่าใคร สิ่งใดก็ตามถ้าทำแล้วดี ปลอดภัย ผมไม่ขัดข้อง แต่ต้องดูเรื่องของงบประมาณด้วย

โดยเฉพาะงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 นั้น ได้ทำไปแล้ว และกำลังทำอยู่ และทำต่อ เพื่อเสนอต่อให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา หลายคนบอกว่าเดี๋ยวทำใหม่ได้ ปรับใหม่ได้ แสดงว่าไม่มีความรู้ในเรื่องการจัดทำงบประมาณ คนจะเป็นผู้นำหรือนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี จะต้องรู้และให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ให้มาก สำนักงบประมาณต้องตอบให้ได้ว่าเรามีเงินพอหรือเปล่า มีการใช้เงินถูกประเภทหรือไม่ ประเทศของเรามีหลายอย่างที่ต้องแก้ไข ซึ่งทำงานคนเดียวไม่ได้ 8 ปีที่ผ่านมาไม่เคยบ่นแต่อยากจะบอกว่ามันยากที่จะทำให้คนทั้ง 70 ล้านคนพอใจ

ปัญหาของเราที่มีมายาวนาน คือเรื่องของความยากจน ความขาดแคลน และความไม่เพียงพอ งบประมาณจำกัด อุทกภัย น้ำท่วม ฝนแล้ง แล้ววันนี้ยังมีปัญหาความขัดแย้งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ก็ไม่ทราบว่าจะมาทำไม มันใช่สิ่งที่ควรจะเป็นหรือทำ หรือเปล่า เรื่องเหล่านี้ก็ต้องให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการยืนยันว่าไม่ใช่การรังแกใคร ถ้าไม่ผิดแล้วจะดำเนินคดีได้หรือ ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกฟ้องกลับ เราจึงจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งทั้งสามระบบให้ได้ ทั้งในส่วนของอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต่างคนต่างทำหน้าที่ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับทุกคน อย่างปัญหายาเสพติดรัฐบาลก็พยายามปราบปรามดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดจำนวนมาก

ทำอย่างเต็มที่ แต่ต้องยอมรับว่าคนชั่วคนโลภยังมีอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นพลเรือน ตำรวจ ทหาร นักการเมือง มีทั้งสิ้น ต้องยอมรับผมไม่ได้ว่าใคร สิ่งสำคัญที่สุดจะต้องสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ความรู้แก่ลูกหลานของเราไม่ไปเกี่ยวข้องและเกลียดชังกับยาเสพติด

⦁กับครอบครัวได้พูดคุยถึงการตัดสินใจทำงานทางการเมืองต่ออย่างไร

ในด้านครอบครัว ผมถือเป็นคนโชคดี โดยเฉพาะเรื่องลูก เขาไม่ต้องการมาเป็นภาระของคนเป็นพ่อ จะไปไหนมาไหนก็เป็นห่วง ลูกผมก็อยากไปไหนมาไหนด้วย แต่เขาบอกว่าอยากไปในฐานะที่ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี 8 ปีแล้วที่ลูกถามว่าเมื่อไหร่จะพาเขาไปเที่ยว แต่ทุกวันก็ได้ใช้ชีวิตครอบครัว รับประทานข้าวร่วมกันทุกวันที่บ้าน เพราะถ้าไปนอกบ้านก็จะวุ่นวายทั้งชุดรักษาความปลอดภัย ชุดล่วงหน้า ตำรวจเต็มไปหมด ชีวิตไม่เป็นส่วนตัว แล้วเกิดมีคนมาทำอะไรชุดรักษาความปลอดภัยก็ไม่ยอม ก็จะเกิดการทำหน้าที่แล้วจะไปทำให้มันวุ่นวายทำไม อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ก่อนเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ก็ไม่ได้เดินทางไปในที่สาธารณะเท่าไหร่ แต่สมัยก่อนก็เดินห้างสรรพสินค้า สวนจตุจักรเป็นตลาดนัดของผม ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ชอบไปพูดคุยไปเดินไปชม และคิดว่าวันนี้แฟนคลับของผมก็ยังอยู่ คงมีคำถามว่าผมหายไปไหนหลายปีมาแล้ว

ไม่ใช่ว่าเป็นนายกฯแล้วจะถือตัว ผมไม่ได้มีร้านประจำที่สวนจตุจักร ส่วนใหญ่เดินไปทั่ว ไปดูสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เพราะต้องระมัดระวังในการใช้เงิน วันนี้ก็ยังอยากจะไปหลายที่ที่เคยไปแต่ไม่ได้ไป แต่ที่ไปไม่ใช่สถานที่อบายมุข อยากไปเดินห้างไปเดินสวนสาธารณะ หรือกินกาแฟ สมัยก่อนก็ไปมาเกือบทั้งหมด แต่วันนี้เมื่อรู้ตัวว่าไปลำบาก ถ้าไปแล้วเป็นภาระก็เลยไม่ได้ไป

⦁ถ้าต้องไปต่ออีกสองปีได้มีการพูดคุยกับทางครอบครัวแล้วหรือไม่

ได้พูดคุยกันแล้ว ซึ่งครั้งแรกก็คิดว่าอยู่มา 8 ปีแล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อ คำตอบคือการพักผ่อนอายุเยอะแล้ว เกือบจะ 70 ปี แต่ก็คุยกันกับลูกๆ ว่าแล้วสิ่งที่พ่อยังทำไม่เสร็จแล้วใครจะทำต่อ แต่ได้ทำต่อครบวาระพ่อต้องหาคนทำให้ได้ก็แล้วกัน เราก็เลยบอกว่าเดี๋ยวก็มีคนทำอยู่ดีนั่นแหละ ก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว ซึ่งเขาเข้าใจเขาอดทน สมัยหนุ่มจบจากโรงเรียนนายร้อยก็อยู่ต่างจังหวัดมาโดยตลอด อยู่ชายแดนอยู่ที่ จ.ปราจีนบุรี ตั้งแต่สมัยที่ยังมีคอมมิวนิสต์ มีการรบกันตามแนวชายแดนเพิ่งกลับเข้ามาอยู่กรุงเทพฯเมื่อปี 2548 มาเป็นรองแม่ทัพและเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เพิ่งจะมีชีวิตที่เข้ามาใช้อยู่ในกรุงเทพฯ แต่ก็ยังต้องเดินทางไปที่ต่างๆ ไปทุกจังหวัดที่ต้องดูแลทุกกองกำลัง

อย่าลืมว่าตอนลูกผมเกิดมา ตั้งแต่สมัยผมปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดน ช่วงนั้นกลับบ้านเพียงเดือนละครั้ง ไม่กี่วัน 3-5 วัน โชคดีที่ลูกของผมทั้งสองคนเรียนหนังสือดี เป็นฝาแฝด เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจของผม แต่ผมไม่ได้มางานรับปริญญาลูก เพราะอยู่ในพื้นที่ มาไม่ได้เนื่องจากกำลังมีปัญหาอยู่ในพื้นที่ ลูกๆ เขาก็ต้องอยู่กับแม่ วันสำคัญต่างๆ ส่วนใหญ่ผมไม่ได้กลับบ้าน เพราะติดภารกิจ ถือว่าโชคดีเนื่องจากภรรยาผมเข้าใจ เจ็บท้องเข้าโรงพยาบาลเขาอยู่ของเขาคนเดียว มีพี่สาวคอยดูแลช่วงที่คลอด ผมอยู่ได้เพียงวันเดียวและต้องกลับพื้นที่ จากนั้นก็ไปๆ กลับๆ วันรับปริญญาลูกก็ไม่ได้กลับมา แค่ได้ถ่ายรูปกับลูกที่บ้าน ผมก็คิดว่าผมทำถูกหรือไม่ แต่ครอบครัวผมเข้าใจ ไม่เช่นนั้นคงโกรธกันตาย ภรรยาผมไม่เคยงอนอะไรเลย เขาเป็นผู้ใหญ่พอ

ส่วนตัวเป็นคนชอบดนตรีแต่เล่นดนตรีไม่เป็น มีเพียงสมัยเด็กที่เล่นดนตรีไทยบ้างเล็กน้อย อย่างเช่น อังกะลุง แต่คนที่ชอบดนตรีและเล่นดนตรีฝีมือใช้ได้คือลูกผม ไม่ทราบว่ามาจากใครเหมือนกัน ลูกผมเคยทำวงดนตรีตั้งแต่เด็กวันนี้ก็มีการซ้อมอยู่ที่บ้าน ก็นั่งฟังเขาเล่นทั้งกลอง กีตาร์ เปียโน สำหรับผมชอบร้องเพลง แต่ร้องไม่ค่อยเพราะ เพราะไม่ได้เกิดมาเป็นนักร้อง แต่ชอบฟังเพลง ข้อเสียคือผมจำชื่อเพลงไม่ได้แต่จำเนื้อได้เวลาขอเพลงก็ร้องเนื้อให้ฟัง ล่าสุดเพลงหาเสียงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ช่วยเขียนบ้างนิดหน่อยว่าทำอย่างไรให้เนื้อเพลงลุงตู่อยู่ไหน สามารถเชื่อมกับเบอร์ 22 ได้

วันนี้ถือว่าในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็โอเค ประชาชนให้กำลังใจ เพลงที่ออกมาก็ปลุกใจให้คนในพรรคมีกำลังใจ เชื่อว่าอีกไม่กี่วันก็คงจะกระหึ่มทั้งกรุงเทพฯ หลังสงกรานต์ไปแล้วเสียงเพลงคงจะดังว่อนไปหมด แต่ทั้งหมดอยากให้ดูที่ความตั้งใจ ความจริงใจ ความซื่อสัตย์สุจริต ความเป็นผู้รอบรู้สถานการณ์ในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งสถานการณ์โลกและการที่จะไปไหนก็ตามจะต้องสง่างาม ต้องภูมิใจในความเป็นผู้นำประเทศ และผมถือว่าได้ทำมามากพอสมควร ส่วนคนอื่นก็อาจจะทำได้ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ผมก็ถือว่าผมได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว จากที่ได้รับเกียรติจากทุกเวทีโลกผู้นำทุกคนก็พร้อมที่จะพูดคุย

ใครก็ตามที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ เป็นรัฐมนตรีหรือนักการเมือง ต้องรับรู้และระมัดระวังไม่ใช่มีอำนาจแล้วจะทำได้ทุกอย่างมีอำนาจแล้วทำทุกอย่างเป็นอย่างไรก็ติดคุก ผมเองไม่ต้องการให้ทั้งตัวผมและผู้ใต้บังคับบัญชาติดคุกตามไปด้วย จึงบอกมาตลอดว่าวันนี้ต้องทำให้ดี ถ้าติดคุกก็เสียใจด้วย ไปถามทุกคนได้ว่าผมเป็นคนอย่างไร พร้อมรับฟังทุกคนและไม่ใช่คนบ้าๆ บอๆ ไม่ใช่คนที่ใช้อำนาจทุบโต๊ะ หลายอย่างก็อยากจะทุบแต่ก็ทำไม่ได้ งานทุกงาน คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องรู้เท่าที่ควรรู้ ไม่ใช่จะเป็นคนวิเศษวิโส หรือเก่งมาจากไหนถ้าผมเป็นอย่างนั้นคงอยู่มาไม่ถึง 8 ปี ทุกคนมาจากการเลือกตั้ง ยืนยันว่าไม่เคยทะเลาะกันเราให้เกียรติกับทุกคน แต่ถ้าแยกกันไปแล้วเขาจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา

⦁รอบหน้าทีมเวิร์กของพรรคร่วมรัฐบาลจะไปร่วมกันเหมือนเดิมหรือไม่

ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผลการเลือกตั้งออกมาก็ต้องมาดูคะแนนเสียงว่าใครได้มากใครได้น้อย ถ้าผมได้น้อยคงไม่มีใครอยากคบกับผม ถ้าได้มาก ทีมงานที่เข้าขากันมาทำสำเร็จ ที่ผ่านมาก็มีอยู่ และพร้อมเต็มที่ที่จะทำต่อให้เสร็จ แต่ถ้าได้น้อยให้คนที่ได้มากกว่าไป ส่วนจะได้เท่าไหร่คงตอบยาก

⦁หลังเลือกตั้งไฮไลต์ที่จะทำต่อคืออะไร

ที่บอกว่า ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ก็ต้องทำ เนื่องจากยังไม่เสร็จ หรือยังเสร็จไม่หมด ส่วนจะเสร็จเมื่อไหร่ ก็คงต้องตอบว่าจนหมดทุกรัฐบาลถึงจะเสร็จ เพราะปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ สิ่งสำคัญวันนี้คือการแก้ปัญหาความยากจน หนี้ครัวเรือน การรักษาวินัยทางการเงินการคลังของเรา ให้มีความปลอดภัย การแก้ไขปัญหาเรื่องของเงินเฟ้อ การจัดหารายได้ให้กับประชาชน

วันนี้การทำงานต่อตามนโยบายของรัฐบาลถ้าเปรียบกับกีฬากอล์ฟ วันนี้ทุกอย่าง หลายเรื่อง อยู่บนขอบกรีน และบางอย่างก็อยู่บนกรีนแล้ว ก็พยายามผลักดันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทีออฟ ไม่ใช่บางอย่างอยู่บนกรีนแล้วเตะลูกออกจากกรีนผมแล้วต้องไปเริ่มตีใหม่ แล้วจะเข้าป่าหรือเปล่ายังไม่รู้ ซึ่งส่วนใหญ่เรื่องอยู่บนขอบกรีน และบนกรีนจะใช้เวลาอีก 2 ปีพัตต์ลงหลุม ก็ขึ้นอยู่ที่ว่ากรีนนั้นเรียบสงบเรียบร้อย ไม่ใช่เป็นกรีน

ที่มีความวุ่นวายหรือมีหลุมบ่อเยอะ ก็ต้องพัตต์กันหลายพัตต์ ซึ่งก็ต้องควบคู่ไปกับความมั่นคงและความมีเสถียรภาพ เมื่อก่อนนี้มันมีแต่ความวูบวาบและกรีนพัตต์ยากไม่ยั่งยืน ดังนั้น สิ่งที่เราจะทำในอีก 2 ปีข้างหน้าคือ ทำต่อให้เสร็จ ให้มากที่สุดเหมือนกับการพัตต์กอล์ฟให้ลูกกอล์ฟบนกรีนหรือขอบกรีนให้ลงหลุมมากที่สุด

สิ่งสำคัญวันนี้คือทั้งหมดมันเกิดขึ้นในสมัยของเรา และผมเป็นคนไปเปิดเกมและเจรจากับผู้นำประเทศต่างๆ นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ตรงนี้สร้างความเชื่อมั่นและรับฟังความคิดเห็นจากประเทศต่างๆ เข้ามา วันนี้เราเดินหน้ามาไกลแล้ว ขออย่ากลับไปที่เดิมก็แล้วกัน คิดว่าอีก 2 ปี หลายอย่างก็จะประสบผลสำเร็จมากขึ้น แต่จะไม่ใช่หยุดแค่นั้นก็ต้องส่งต่อให้กับรัฐบาลต่อไป เพราะทั้งหมดคือยุทธศาสตร์ชาติ และวิสัยทัศน์ที่เราคาดหวังในอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเราต้องการให้ประเทศของเรามีความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืน ปลอดภัยเข้มแข็ง ทุกคนมีรายได้ที่เพียงพอ นี่คือวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศจะต้องมีตรงนี้

⦁ การเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้นจะขายของอย่างไรให้คนเลือกคนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี

ผมไม่มีของให้ขาย แต่ขายด้วยความจริง ขายแต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้จริง และเกิดขึ้นแล้ว ที่ทำมาแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก ถ้าใช้คำว่าขายของก็ขายกันอยู่ทุกวัน แล้วถามว่าขายได้หรือไม่ ถ้าขายได้ก็ล้มละลาย ขายของแบบนี้คนก็ชอบทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทรัพยากรมีเพียงพอหรือไม่ และคนที่จะได้รับจะมีการพัฒนาได้หรือไม่ เขามีความคุ้นเคยกับการใช้เงินขนาดนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เพราะนี่คือทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องเจริญเติบโตในสิ่งที่ควรจะเป็นและต้องพัฒนาต่อไป ต้องมีความอดทนเพื่อที่จะเดินหน้าตัวเองให้ได้ก่อน แล้วรัฐถึงจะเข้าไปช่วย ซึ่งสื่อเองก็ต้องช่วยบอกว่าอย่ามองแค่เพียงฉาบฉวย หรือมองแค่ประโยชน์ที่จะได้รับ

แต่ต้องบอกว่าทำได้จริงหรือไม่ แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร คนอื่นจะอยู่ได้หรือไม่ ถ้าต่างคนต่างคิดถึงประโยชน์ของตัวเองทั้งหมดมันไปไม่ได้ ไม่มีใครทำได้ ทุกอย่างจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image