ระทึกไปกับ Mission Impossible ภาคล่าสุด และ Adrift อีกหนึ่งต้นแบบของ “หนังหมูป่า”?

ระทึกไปกับ Mission Impossible ภาคล่าสุด และ Adrift อีกหนึ่งต้นแบบของ “หนังหมูป่า”?

ระทึกไปกับ Mission Impossible ภาคล่าสุด และ Adrift อีกหนึ่งต้นแบบของ “หนังหมูป่า”?

Mission: Impossible – Fallout

หนึ่งในหนังสายลับที่แฟนหนังทั่วโลกติดตามดูมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ส่วนตัวเห็นว่า Fallout เป็นภาคที่สนุกมากของหนัง “ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้” ของอีธาน ฮันท์ ทั้งพล็อตเรื่องที่เชื่อมโยงภาคต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ และความบ้าระห่ำกล้าเสี่ยงตายของหนุ่มใหญ่วัย 56 ปี ทอม ครูซ

Fallout มาแปลกกว่าภาคอื่นๆ ที่โดยปรกติหนังแฟรนไชส์เรื่องนี้จะเปลี่ยนผู้กำกับทุกภาค แต่ภาค 6 กลับใช้ผู้กำกับคนเดิม คริสโตเฟอร์ แมคควอรรี่ (ภาค 5) เพื่อสานต่อเรื่องราวองค์กรชั่วร้าย ซินดิเคด ที่หัวหน้าคืออดีตสายลับสหราชอาณาจักร MI6 โซโลมอน เลน (ฌอน แฮรีส) ที่ถูก อีธาน ฮันท์ จับกุมในภาค 5

แม้ถูกจับกุมก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ เครือข่ายและมือไม้ของซินดิเคทในนาม Apostles ยังมีอยู่ และวางแผนใช้พลูโตเนียมซึ่งเป็นส่วนประกอบของระเบิดนิวเคลียร์สร้างหายนะให้กับโลก ด้วยความคิดว่า สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเริ่มจากการนองเลือดเสียก่อน หรือถ้าอยากจะมีโลกใหม่ที่ดี ก็ต้องล้างโลกเก่าออกก่อน

Advertisement

ภารกิจของอีธานคือต้องเอาพลูโตเนียมคืนมาจากผู้ก่อการร้ายให้ได้ แต่เขาพลาด ทำให้ซีไอเอไม่ไว้ใจ ส่งสายลับ ออกัสต์ วอล์คเกอร์ (เฮนรี คาวิลล์ ที่คนดูคุ้นเคยในบทซุปเปอร์แมน) มาควบคุมการทำงานของอีธานแบบเกาะติด

ไม่ใช่แค่พาดพิงถึงหนังภาค 5 เท่านั้น แต่ยังพาดพิงถึงตัวละครจากภาคอื่นๆ ที่สำคัญคือ จูเลีย (มิเชล โมนาฮาน) อดีตภริยาอีธานที่จำใจต้องพรากจากกัน เพื่อไม่ให้เธอตกอยู่ในอันตราย (เรื่องราวของเธออยู่ใน M:I 3) แถมมีตัวละครใหม่สาวสวยมากๆ ไวท์วิโดว์ (วาเนสซา เคอร์บี้) นายหน้าในวงการอาชญากรรม

ทีมของอีธานมากันเกือบครบ หัวหน้าใหญ่ MIF ท่านรัฐมนตรี (อเล็ก บอลวิน) อิลซ่า (รีเบคก้า เฟอร์กูสัน) สายลับ MI6 ที่มีพฤติการณ์น่าฉงน เบนจี (ไซมอน เพกก์) จากนั่งเฝ้าหน้าจอลงสนามร่วมภารกิจมากขึ้น และลูเธอร์ (วิง เรมส์) แฮกเกอร์ร่างใหญ่ ที่การเลือกให้เขารอดชีวิต ทำให้ภารกิจอีธานในการฉกพลูโตเนียมล้มเหลว

Advertisement

จะขาดก็แต่สายลับวิลเลียม แบรนด์ (เจเรมี เรนเนอร์ หรือ ฮอคอายส์ จาก The Avengers) ที่นัยว่าติดถ่ายหนัง Avengers 4

ถามว่า ถ้าไม่ได้ดูภาคต่างๆ ที่เอ่ยถึง จะดู Fallout รู้เรื่องไหม ก็คงจะงงบ้าง แต่หนังสนุกจนถึงไม่รู้เรื่องทั้งหมด ก็ยังน่าดูอยู่ดี ตามเก็บตกดูภาคอื่นๆ ทีหลังก็ได้ แต่ถ้าดูครบที่กล่าวมา (หรือจำเรื่องโดยเฉพาะภาค 5 ได้) ก็ยิ่งสนุก ลุ้น และเห็นตัวตนที่ชัดเจนของอีธานมากขึ้น

อีธาน เป็นสายลับอันตรายที่ชอบแหกกฎ ทำเรื่องนอกกรอบนอกคำสั่ง เขาถูกองค์กรตั้งข้อสงสัยเสมอถึงอุดมการณ์ความเป็นสายลับ และความภักดีต่อองค์กร ถูกลอยแพและหลายครั้งถูกไล่ล่า ถึงกับมีตัวละครตัวหนึ่งพูดถึงอีธานว่า “กี่ครั้งแล้วที่รัฐบาลทรยศฮันท์ เมื่อไหร่กันที่คนแบบนี้จะเหลืออด”

ผู้กำกับแมคควอร์รี่บอกว่า Fallout ในความหมายเชิงตีความ คือ ผลกระทบของอีธานจากภารกิจและการกระทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่ผ่านมา

คิวบู๊และฉากแอคชั่นภาคนี้ จัดหนักจัดเต็มแบบนันสต็อป ฉากการต่อสู้ประชิดตัวที่น่าประทับใจมากคือ คิวบู๊แบบสองรุมหนึ่ง (อีธานและวอล์กเกอร์สู้กับสายลับปริศนา) ในห้องน้ำ ดุเดือดเผ็ดมันจริงๆ

ฉากเสี่ยงตายก็บ้าดีเดือด และยกระดับความตื่นเต้นให้คนดูเข้าถึงภารกิจ Mission Impossible ได้อย่างสมจริง และระห่ำยิ่งกว่าภาคอื่นๆ

ครูซแสดงเองตั้งแต่กระโดดแบบ HALO JUMP จากเครื่องบิน ซิ่งบิ๊กไบค์สวนเลนกลางจราจรที่คับคั่ง (แบบไม่มีหมวกกันน็อก) กระโดดข้ามตึกสูง (จนข้อเท้าหักต้องพักการถ่ายสามเดือน) วิ่งสู้ฟัดด้วยท่าเอกลักษณ์ประจำตัว ปีนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ (แบบไต่เชือกที่ทำให้ มิตร ชัยบัญชา ตกลงมาเสียชีวิต) แถมขับฮ. ไล่ล่าพุ่งชนฮ. ผู้ร้าย ท่ามกลางภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ฯลฯ

ในฉากเปิดเรื่อง M:I 2 (2000) มีฉากครูซปีนเขาสูง ตอนนั้นอายุ 38 ปี เวลาผ่านไป 18 ปี แม้ใบหน้ายังคงกระชากวัย หล่อเหลาแบบไม่เปลี่ยนแปลง แต่ฉากเสี่ยงตายนี้สาหัสไปไหมสำหรับหนุ่มวัยขนาดนี้

เรื่องนี้ครูซให้สัมภาษณ์แบบติดตลกในรอบปฐมทัศน์ M:I 6 ว่า “ถึงหากจะอายุ 90 ปี ผมก็จะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าพวกเขาให้ผมแสดงฉากบู๊บนรถเข็น ผมก็จะทำ”

Adrift

หนังเรื่องนี้ทำให้คิดถึงทีมหมูป่าอคาเดมี ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ถึง 17 วัน เพราะมีข่าวว่าฮอลลีวูดอยากสร้างหนังเรื่องนี้อย่างมาก เชื่อเลยว่า ถ้าเป็นหนังต้องสนุกแน่ เพราะตัวละครมีหลายตัว ทั้งทีมหมูป่าและทีมผู้เข้าไปช่วยชีวิต คงมีประเด็นที่นำมาเพิ่มเติมสีสันให้เนื้อหาสนุกตื่นเต้นยิ่งขึ้น

ขนาดหนัง Adrift ที่สร้างจากเรื่องจริง ตัวละครมีแค่สองตัวคือ คู่รักหนุ่มสาวที่ล่องเรือจากตาอิติ ไปซานดิเอโก แต่ระหว่างทางเผชิญพายุเฮอริเคน เรืออับปางจนติดอยู่บนซากเรือนานถึง 41 วัน กว่าจะมีใครมาช่วย หนังยังสร้างออกมาได้อย่างชวนติดตามและแอบลุ้นๆ ทั้งที่รู้ว่าต้องรอดสิ ถึงได้มีการออกมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นได้

ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องชื่นชมมือเขียนบทภาพยนตร์ แอรอนและจอร์แดน คานเดลล์ ที่เขียนบทเรื่องราวคนเรือแตกสองคนที่ลอยอยู่กลางทะเลได้ออกมาอย่างน่าสนใจ บทหักมุมทำเอาอึ้งและทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังที่น่าประทับใจและชวนจดจำ

แอรอนและจอร์แดนเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้จากหนังสือ Red Sky in Mourning: A True Story of Love, Loss and Survival at Sea ที่ แทมิ โอลแดม แอชคราฟท์ เขียนขึ้นหลังเหตุการณ์ผ่านไปหลายปี พูดถึงความรักระหว่างเธอและริชาร์ด ชาร์ป และแรงใจที่ทำให้เธอผ่าฝันอุปสรรค และเอาชีวิตรอดกลับมาได้

นักแสดงที่รับบทเป็นคู่รักหนุ่มสาวได้แก่ ไชลีน วูดลีย์ แสดงเป็นแทมี คนดูน่าจะคุ้นเคยกับเธอในบทสาวนักต่อสู้ในหนังซีรีส์ Divergent ซึ่งเป็นหนังแนวแอคชั่นจนลืมไปว่า แท้จริงไชลีเคยรับบทหลากหลาย ทั้งเคยได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำมาแล้วจากเรื่อง The Descendants ที่แสดงกับจอร์จ คลูนีย์ และยังเคยได้รางวัล MTV Movie Awards และ The Teen Choice Award

เรื่องนี้เธอปล่อยของเต็มที่ แบกหนังไว้ทั้งเรื่องแบบไม่ห่วงสวย แถมลงทุนเปลือยทั้งตัวในบางซีน นอกจากจะรับบท แทมีสาวแกร่งจิตใจเข้มแข็งแล้ว ยังเป็นโปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้ด้วย ไชลีนทุ่มเทกับบทบาทนี้มาก แม้ไม่เคยแล่นเรือใบ แต่ก่อนเปิดกล้องเธอใช้เวลาทั้งเดือนอยู่ในฮาวายเพื่อเรียนรู้การควบคุมเรือใบ

ผู้รับบทริชาร์ดคู่หมั้นแทมีที่ล่องเรือไปด้วยกัน แต่บาดเจ็บสาหัสจนช่วยอะไรแทมีไม่ได้คือ แซม คลาฟลิน หนุ่มหล่อจากหนังชุด The Hunger Game และ Me Before You บทของแซมไม่เด่นเท่าไชลีน แต่หล่อ มีเสน่ห์ ดูเป็นชายหนุ่มที่อบอุ่นอ่อนโยนและเป็นพลังให้สาวคนรักต่อสู้กับอุปสรรคนานาประการ

ขณะหนังกำลังถ่ายทำ แทมีตัวจริงมาที่กองถ่าย เธอถึงกับบอกว่า “แซมเหมือนริชาร์ดแบบไม่น่าเชื่อ ฉันคิดว่าฟ้าส่งแซมมาเพื่อรับบทนี้โดยเฉพาะ”

หนังเล่าเรื่องได้อย่างมิติ เปิดเรื่องด้วยแทมีคืนสติหลังผจญพายุและตามหาริชาร์ด จากนั้นตัดสลับไปสลับมาระหว่างช่วงลอยคว้างอยู่กลางทะเล กับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเมื่อทั้งคู่ได้พบรักกัน เป็นการดำเนินเรื่องที่ทำให้หนังมีสีสันไม่แห้งแล้ง และทำให้จุดหักมุมของเรื่อง เป็นประเด็นที่ทั้งประทับใจและกระแทกใจคนดู

ถ้าดูจากหนังตัวอย่าง อาจคิดว่าเป็นหนังแนวเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์คับขัน ซึ่งแม้จะมีประเด็นนี้ แต่หนังไม่ได้เน้นลึกไปว่าช่วง 41 วัน ทั้งสองเจอความสาหัสสากรรจ์อะไรบ้าง

มีการพูดถึงน้ำกินอาจไม่พอ (แต่ฝนก็ตกลงมาทำให้คนดูได้เห็นซีนเด็ด ภาพไชลีนแบบที่ไม่เคยเห็นในหนังเรื่องใดมาก่อน)

มีฉากไชลีนดำน้ำใช้ฉมวกแทงปลามากิน (ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเธอเป็นมังสวิรัติ) การฉายภาพความพยายามมีชีวิตรอดยังค่อนข้างผิวเผิน แต่ก็พอทำให้คนดูอึดอัดและลุ้นให้ถึง 41 วันเร็วๆ

ประเด็นหลักน่าจะเป็นเรื่องความรัก และบทพิสูจน์รักแท้ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่ต้องเผชิญร่วมกัน ผู้กำกับ บัลทาซาร์ คอร์มาเกอร์ ที่เคยกำกับหนังแนวเอาตัวรอดแบบ The Deep และ Everest พูดถึงหนัง Adrift ว่า

“ผมชอบไอเดียที่ใช้ผู้หญิงแข็งแกร่งมาเป็นฮีโร่ของเรื่อง ชอบที่มันเป็นเรื่องความรักที่ทรงพลัง ผมหวังมาตลอดว่า จะได้ทำหนังโรแมนติกดราม่า ที่มีการสำรวจเนื้อแท้ของพลังแห่งความรักเป็นแกนหลัก”

งานภาพหนังสวยมาก ถ่ายทำที่ท้องทะเลเกาะฟิจิ สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก พายุเฮอริเคนก็ทำได้น่ากลัวและสมจริง จนไม่น่าเชื่อว่าภายในเรือใบลำเล็กที่ออกแนวเรือสำราญ จะมีใครที่สามารถเอาชีวิตรอดจากอุบัติภัยครั้งนี้ได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image