| ผู้เขียน | สุรีย์ประภา |
|---|
The Nun มาฟอร์มนี้ รอลุ้นภาค 2 ได้เลย!
สารภาพว่าเป็นแฟนคลับของผู้กำกับหนัง เจมส์ วาน ชื่นชมทั้งฝีมือกำกับหนังสยองขวัญของเขา แบบ Insidious, The Conjuring หนังแอคชั่นระห่ำ Fast and Furious 7 และก็กำลังรอดูหนังซุปเปอร์ฮีโร่ Aquaman ของค่าย DC ที่เขากำกับและกำลังจะออกฉายเร็วๆ นี้
แต่เจมส์ วาน ไม่ได้มีฝีมือแค่กำกับหนัง เขายังเป็นโปรดิวเซอร์และมือเขียนบทภาพยนตร์หลายเรื่อง หลังกำกับหนัง The Conjuring 2 ที่ผีแม่ชีปรากฏตัวเหมือนแขกรับเชิญ แต่สร้างความสะพรึงและติดตาคนดูจนอกสั่นขวัญหายไปทั่ว
เจมส์ วาน ตัดสินใจสร้าง The Nun เป็นภาคแยกออกมาจากจักรวาลหนังผี The Conjuring เหมือนที่เคยสร้างภาคแยกของตุ๊กตาผี Annabelle ออกมาสองภาค
เจมส์ วาน นั่งแท่นโปรดิวเซอร์และเขียนบทร่วมกับแกรี่ เดาเบอร์แมน โดยให้โคริน ฮาร์ดี้ ซึ่งเคยกำกับหนังสยองขวัญ The Hallow ที่ได้รับคำวิจารณ์แง่บวกจากหลายสำนักเป็นผู้กำกับแทน
ใน The Conjuring 2 เรารู้เพียงว่าปีศาจแม่ชีวาลัคเป็นร่างจำแลงของซาตานที่มาจากขุมนรก แต่ไม่ทราบที่มาที่ไปของซาตานตนนี้
The Nun ขยายเรื่องราวของผีแม่ชีออกมาอีกหน่อย แต่ยังไม่ชัดเจนมาก อาจเพราะเจมส์ วาน ขยักไว้เพราะมีแผนว่า หาก The Nun ประสบความสำเร็จ ก็จะมี The Nun ภาค 2 ที่จะโยงถึงเรื่องราวเกี่ยวกับลอร์เรน วอเรน ใน The Conjuring 2
พล็อตเรื่อง The Nun ได้แรงบันดาลใจจากหนัง The Name of the Rose ที่ ฌอน คอนเนอรี่ แสดงเป็นบาทหลวง ที่ถูกเรียกตัวไปสืบสวนการตายปริศนาของบาทหลวงอีกคนหนึ่ง ที่อยู่ตอนเหนือของอิตาลี
เหมือนกับหลวงพ่อเบิร์ก (เดเมี่ยน บิเชอร์) ใน The Nun ที่ทางวาติกันให้ไปสืบสวนคดีแม่ชีฆ่าตัวตายที่โรมาเนีย โดยเดินทางไปค้นหาข้อเท็จจริงร่วมกับ แม่ชีฝึกหัดซิสเตอร์ไอรีน (ไทซา ฟาร์มิก้า)
หนังตื่นเต้นและชวนสยองไม่เท่าหนังหลัก The Conjuring ทั้งสองภาค แต่ใครเป็นแฟนจักรวาลหนังสยองขวัญของเจมส์ วาน ก็ไม่น่าพลาด เพราะ The Nun ช่วยเติมเต็มจักรวาลนี้ หนังสนุกพอควร มีจังหวะ Jump Scare ให้สะดุ้งหลายฉาก
ปีศาจแม่ชีขยันออกมาหลอกหลอนผู้มาเยือน ทั้งมีพลังชั่วร้ายที่สามารถล้วงลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกผู้คน และจำแลงร่างเป็นจุดอ่อนหรือปมจากอดีตขึ้นมาหลอกหลอนคนคนนั้น แต่ทั้งที่รู้ว่าวิญญาณนี้ชั่วร้าย ตัวเอกในเรื่องทั้งสามคน ก็ยังชอบเดินดุ่มๆ แยกเดี่ยวไปให้โดนหลอก
เรื่องนี้ย้อนกลับไปในยุค 50s โลเคชั่นถ่ายทำคือปราสาทคอร์วินที่โรมาเนีย ซึ่งสร้างช่วงศตวรรษที่ 14 ตัวปราสาทและองค์ประกอบตบแต่งสไตล์โกธิค ดูลึกลับน่าสะพรึง และพาคนดูให้เคลิ้มตามได้ว่า นี่เป็นโบสถ์ที่มีวิญญาณร้ายสิงสู่ เมื่อประกอบกับคอสตูมเครื่องแต่งกายตัวละครที่สีทึมๆ ดำ ขาว เทา ยิ่งส่งให้บรรยากาศของโบสถ์ชวนขนหัวลุกมากยิ่งขึ้น
สกอร์เพลงของหนังฟังหลอนๆ และบิวท์อารมณ์สื่อไปถึงเหตุร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เอกลักษณ์หนังสยองขวัญของเจมส์ วาน อย่างหนึ่งคือ มีการนำเพลงทั่วๆ ไปที่คนคุ้นเคย มาพลิกโฉมเป็นเพลงชวนสยอง
เช่น ใน The Conjuring 2 วาน นำเพลงเด็กๆ ที่สดใสอย่างเพลง This Old Man มาเป็นเสียงผิวปากของผีตาแก่ที่สิงอยู่ในบ้าน ที่คนขวัญอ่อนเตรียมหลับตาได้เลยเมื่อเพลงนี้ขึ้น
มาถึง The Nun เพลงไพเราะยุค 1950 อย่างเพลง You Belong to Me ที่ผู้หญิงร้องอ้อนคนรักซึ่งกำลังจะจากไปว่า ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน หรือเห็นอะไรที่สวยงามจนอาจนึกอยากปักหลัก ขอให้เธอจำไว้ว่า You belong to me เสียงหวานๆ ของนักร้องซึ่งดังจากวิทยุที่จู่ๆ เปิด ปิด ได้เอง สร้างความรู้สึกหลอนๆ และเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
ฉากจบของหนังเชื่อมต่อกับ The Conjuring ได้อย่างลงตัว และความสำเร็จจากการเปิดตัวหนังในสัปดาห์แรกที่ออกฉาย ทำให้ค่อนข้างเชื่อว่า จะมี The Nun 2 ออกมาอย่างแน่นอน
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น หลายคนคงกำลังรอดูว่า The Crooked Man ผีชายแก่หลังค่อมในชุดแดง ที่เคยปรากฏตัวใน The Conjuring 2 และถูกสร้างออกมาเป็นหนังภาคแยกเช่นกัน จะออกมาสั่นประสาท และสร้างความหวาดผวาให้แก่คนดูได้มากน้อยเพียงไร
