Kursk ยังไม่ประทับใจ

Kursk ยังไม่ประทับใจ

Kursk ยังไม่ประทับใจ

หนังสร้างจากเหตุการณ์จริงเรื่องราวช็อกโลกวันที่ 12 สิงหาคม 2000 เมื่อกองเรือภาคพื้นทะเลทางเหนือ ที่เรียกว่า Northern Fleet ของรัสเซีย ทำการซ้อมรบใหญ่เป็นครั้งแรก หลังการสิ้นสุดสหภาพโซเวียต โดยมีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ K-141 Kursk (อ่านว่า คูร์ส ตามชื่อเมือง Kursk ที่ติดกับชายแดนยูเครน) เข้าร่วมในการซ้อมรบ

และเกิดเหตุที่ทำให้ Kursk จมลงสู่ก้นทะเลบาเรนต์ ทางตอนเหนือของรัสเซียนอกชายฝั่งเขตปกครอง Murmansk ลูกเรือส่วนใหญ่ตายทันที ที่รอดชีวิต 23 นายก็ไปรวมตัวอยู่ท้ายเรือ ต่อสู้เอาตัวรอดเพื่อรอความช่วยเหลือเหนือพื้นน้ำ

เรือดำน้ำคูร์ส เป็นเรือดำน้ำที่ทันสมัยที่สุดของรัสเซียสมัยนั้น สร้างเมื่อปี 1990 ออกแบบพิเศษโดยใช้วัสดุดูดซับแม่เหล็กเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากเรือรบศัตรู โครงสร้างแข็งแรงขนาดใช้ปฏิบัติการแถวขั้วโลกเหนือที่ต้องเผชิญก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่มหึมาได้

เหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในยามประเทศไร้ศึกสงคราม ช่วงแรกรัสเซียอ้างว่า คูร์สจมลงเพราะชนกับเรือดำน้ำของสหรัฐ ที่แอบมาสอดแนมการซ้อมรบ แต่สหรัฐปฏิเสธ โดยยืนยันว่า การชนกันอย่างรุนแรงขนาดนี้ ไม่มีเรือลำใดของสหรัฐทนได้ และช่วงเวลาที่เกิดเหตุก็ไม่มีเรือดำน้ำของสหรัฐลำใดได้รับความเสียหาย

Advertisement

หนังเปิดเผยเรื่องราวการจมลงของเรือดำน้ำคูร์ส และวีรกรรมการเอาชีวิตรอดใต้ทะเลของลูกเรือ 23 คนที่ติดอยู่ใต้ทะเลลึก โดยอิงจากหนังสือ A Time to Die: The Untold Story of the Kursk Tragedy และจากปากผู้บังคับการเรือ เดวิด รัสเซลล์ (โคลิน เฟิร์ธ ที่เพิ่งผ่านตาคนดูจากบทนายธนาคารหน้าเลือดในหนัง Marry Poppins Returns) ที่นำหน่วยกู้ภัยกองทัพเรืออังกฤษเข้าช่วยเหลือและไปถึงพื้นที่เกิดเหตุเป็นประเทศแรกๆ

หนังปูพื้นคนดูให้เห็นถึงสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของรัสเซียสมัยนั้น ยุทธภัณฑ์ของกองทัพเรือเสื่อมสภาพเพราะขาดงบประมาณในการดูแล ตอร์ปิโดลูกหนึ่งเกิดระเบิดจากสภาพความเสื่อมของการใช้งาน ส่งผลให้ตอร์ปิโดลูกอื่นระเบิดตามเป็นระลอก ฉีกส่วนหน้าของเรือดำน้ำอย่างยับเยิน เรือเสียการควบคุม จมดิ่งสู้กันมหาสมุทร

Advertisement

มิคาอิล (แมทเธียส เฌอนาร์ด จาก Red Sparrow) พาลูกเรือที่เหลือไปอยู่ส่วนท้ายเรือ โดยไร้เครื่องมือช่วยเหลือใดๆ ทำได้เพียงเคาะเรือเป็นระยะ ให้ฝ่ายที่จะเข้ามาช่วยเหลือทราบว่ายังมีคนรอดชีวิต

แม้นานาประเทศจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพราะพอจะรู้ว่ารัสเซียไม่มีศักยภาพพอ แต่ช่วงแรกรัสเซียปฏิเสธเพราะกลัวความลับทางการทหารรั่วไหล แม้เหล่าครอบครัวของลูกเรือทั้ง 118 คนจะพยายามขอร้องและกดดันรัฐบาลให้ยอมรับ แต่ก็ไม่เป็นผล

จนผ่านไปห้าวันรัฐบาลจึงยอมตอบรับความช่วยเหลือจากอังกฤษและนอร์เวย์ เรื่องราวเป็นอย่างไร คนที่เคยติดตามข่าวนี้ก็คงจะพอทราบกันแล้ว

Kursk ไม่ใช่หนังแอคชั่นลุ้นมันแบบ Hunter Killer หนังเกี่ยวกับเรือดำน้ำที่เพิ่งฉายไปไม่กี่เดือนก่อน เนื้อหาออกแนวดราม่า เหมือนอยากอธิบายให้คนดูทราบว่า เพราะเหตุใดเรือดำน้ำที่แสนจะทันสมัยลำนี้ถึงจมลง

หนังเล่าถึงความผูกพันของเหล่าลูกเรือที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่ทอดทิ้งกัน และความทุกข์ใจของครอบครัว ที่มีทันย่า (ลีอา เซย์ดูซ์ สาวบอนด์จาก Spectre) เมียท้องแก่ของมิคาอิล ที่เป็นตัวแทนครอบครัวที่ขมขื่นและจำยอมจำนนต่อการตัดสินใจของรัฐบาล

หนังไม่สนุกแถมกดดันคนดูตลอดทั้งเรื่อง (โดยเฉพาะคนที่ไม่ทราบเนื้อหาตอนท้าย) ความหวังและการรอคอยเป็นความทุกข์ทรมาน เศร้าใจ ลูกเรือที่แม้แทบไม่มีความหวัง แต่ก็คอยเอียงหูฟังเสียงความช่วยเหลือที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า พลางฝืนปลอบใจตัวเองและเพื่อนๆ “พวกเขาต้องลองอีกครั้ง เชื่อผมเถอะ พวกเขาต้องลองอีก”

เรื่องราวเกี่ยวกับ Kursk เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แต่ถ้ามองในแง่ความบันเทิง หนังไปไม่ถึงจุดที่ที่จะทำให้คนดูเกิดความประทับใจ การปูพื้นตัวละครเป็นแบบเล่าผ่านๆ ทำให้คนดูไม่เกิดความผูกพันกับตัวละคร

บทของผู้การเดวิด รัสเซลล์ ที่พยายามจะช่วยเหลือลูกเรือ ถ้ามีแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ดาราระดับออสการ์นำชายยอดเยี่ยม โคลิน เฟิร์ธ ก็ได้

ตอนจบของหนังทิ้งท้ายแบบเอาใจคนดู มีคนต่อต้านและแสดงความไม่พอใจรัฐบาล แต่ในความเป็นจริง แม้เรือดำน้ำคูร์สจะจมปีเดียวกับที่วลาดิมีร์ ปูตินได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีรัสเซียครั้งแรก แต่เหตุการณ์นี้ไม่ส่งผลกระทบต่อความนิยมของรัฐบาล

ปูตินยังคงได้รับการเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง และแม้ปัจจุบันประชากรรัสเซียส่วนใหญ่ก็ยังคงให้การสนับสนุนและนิยมชมชื่นในตัวเขา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image