วิจารณ์ 2 หนังฟอร์มยักษ์ “Ben-Hur” กับ “Pete’s Dragon”

วิจารณ์ 2 หนังฟอร์มยักษ์ "Ben-Hur" กับ "Pete's Dragon"

วิจารณ์ 2 หนังฟอร์มยักษ์ “Ben-Hur” กับ “Pete’s Dragon”

Pete’s Dragon

Petes_Dragon_2016_poster

ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงหนัง The Jungle Book อาจเพราะเนื้อเรื่องเป็นเรื่องเด็กชายอยู่ในป่าตามลำพัง โดยมีสัตว์ป่าเป็นคนดูแล แต่สเกลของหนัง Pete’s Dragon เล็กกว่าหนัง The Jungle Book และใช้ CG น้อยกว่า

แต่ถ้าพูดถึงความน่ารัก สดใส ไม่มีพิษมีภัย ทั้งคู่สูสีไม่แพ้กัน

ดิสนีย์เคยสร้าง Pete’s Dragon เป็นหนังเพลงเมื่อปี 1977 โดยดัดแปลงจากเรื่องสั้นที่ไม่ได้ตีพิมพ์ของ ซีตัน ไอ มิเลอร์ และ เอส เอส ฟิลด์ เป็นหนังผสมอนิเมชั่นแบบไลฟ์แอคชั่น คนแสดงกับตัวการ์ตูน โดยเอเลียตมังกรตัวเขียวเป็นตัวการ์ตูน เวอร์ชั่นใหม่ปี 2016 เอเลียตมีขนปุกตัวสีเขียว และเป็น CGI

Advertisement

มนุษย์มีจินตนาการเกี่ยวกับมังกรหลายแบบ ทั้งรูปลักษณ์และนิสัยมังกรก็แตกต่างกัน ที่ปรากฏในหนังมีทั้งมังกรตัวร้ายและมังกรตัวดี มังกรเอเลียตได้ชื่อเช่นนี้ เพราะพีทตั้งชื่อตามสุนัขในหนังสือเล่มโปรดที่เขาได้รับจากพ่อแม่ “Elliott Gets Lost” มังกรเอเลียตเป็นหนึ่งในตัวละครมังกรที่คนดูจดจำ และชอบมากที่สุดตัวหนึ่งในโลกภาพยนตร์

เดวิด โลเวอร์รี่ ผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์ (เขียนร่วมกับ โทบี้ ฮัลบรูคส์) สร้างให้เอเลียตมีขนปุกปุย เพราะอยากลบภาพลักษณ์มังกรแบบเก่าๆ ให้คนเห็นแล้วเกิดอาการอยากกอด เอเลียตจึงกลายเป็นมังกรหน้าตาตลก มีเขี้ยวสองข้าง ที่ข้างหนึ่งหัก ขนฟูหน้าตาและท่าทางคล้ายสุนัข เวลาตามหาพีทก็ใช้การดมกลิ่น และบางครั้งก็เปล่งเสียงที่คล้ายเสียงสุนัขหอน

เนื้อเรื่องไม่แปลกใหม่ แต่น่ารักและอบอุ่น เป็นเรื่องของ พีท (โอกส์ เฟกลีย์) เด็กกำพร้า ที่พ่อแม่ตายจากอุบัติเหตุ เขาอาศัยอยู่ในป่าลึกหกปี ในเมืองสมมุติชื่อมิลฮาเวน อาศัยความช่วยเหลือของมังกรเอเลียต

นาตาลี (อูนา ลอเรนซ์) เด็กหญิงวัย 11 ปี และเกรซ (ไบรส์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด) เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปพบพีท ทำให้ความลับเรื่องมังกรเอเลียตถูกเปิดเผย คนโลภอยากจับเอเลียตเพื่อสร้างชื่อเสียงแก่ตัวเอง ชาวบ้านหวาดระแวงว่ามังกรอาจลุกขึ้นมาทำร้ายผู้คน

เรื่องเป็นอย่างไรต่อไป อยากให้ไปดูเอง หนังสร้างความรู้สึกอบอุ่นและประทับใจมาก เพลงประกอบสไตส์โฟล์คก็ไพเราะ ดาราดังอย่าง โรเบิร์ต เรดฟอร์ด ร่วมแสดงเป็นมิชชั่น ชายชราพ่อของเกรซ นักเล่านิทานเกี่ยวกับมังกรให้เด็กๆ ฟัง

หนังของดิสนีย์เป็นหนังที่เข้าถึงผู้ชมทุกเพศทุกวัย นอกจากเนื้อเรื่องดี ทิวทัศน์สวยงามแล้ว (เรื่องนี้ถ่ายทำที่นิวซีแลนด์ซึ่งอุดมไปด้วยป่าไม้สวยงาม) มักจะส่งสารดีๆ ให้ผู้ชมเสมอ เรื่องนี้ก็เช่นกัน มิตรภาพระหว่างพีทและเอเลียตเป็นมิตรภาพที่ไม่มีเส้นแบ่ง แม้ต่างสายพันธุ์ก็เป็นเพื่อนกันได้ อาจจะลึกซึ้งกว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนด้วยซ้ำ เพราะพีทและเอเลียตเสมือนหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกับ เอเลียตคือโลกทั้งโลกของพีท ก่อนที่พีทจะมาพบกับนาตาลีและเกรซ

ความสำคัญของครอบครัวเป็นอีกประเด็นที่ดิสนีย์ต้องการจะสื่อถึง ความไม่สมบูรณ์ในครอบครัวไม่ได้หมายความว่า จะทำให้คนในครอบครัวนั้นไม่มีความสุข ทั้งนาตาลีและเกรซไม่มีแม่ พีทมีแค่เอเลียต แต่ทั้งสามคนก็มีความสุขและอบอุ่นในสิ่งที่เธอและเขามี

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูด้วยความซาบซึ้ง และประทับใจจนบางคนอาจน้ำตารื้น ทั้งยังสะท้อนถึงความโลภและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่ทำลายป่า บุกรุกธรรมชาติ แสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายใดๆ บางทีความดุร้ายของสัตว์ป่าอาจไม่รุนแรงและร้ายกาจเท่าก้นบึ้งของจิตใจมนุษย์

Ben-Hur

Ben-Hur_poster_goldposter_com_8.jpg@0o_0l_800w_80q

ผู้กำกับรัสเซีย ทิเมอร์ เบ็คแมมบิทอฟ กล้าหาญชาญชัยมากที่เข้ามากำกับหนัง epic ตำนานแบบเบนเฮอร์ หนังอมตะสุดคลาสสิคที่กวาดรางวัลออสการ์ 11 ตัวเป็นเรื่องแรกในปี 1959

ทันทีที่มีข่าวว่าผู้กำกับเป็นใคร มีแต่เสียงร้องยี้ไม่เชื่อถือ เพราะแนวกำกับหนังของเบ็คแมมบิทอฟเป็นหนังแนวแอคชั่นแบบเรื่อง Wanted และ Abraham Lincoln: Vampire Hunter

เบ็คแมมบิทอฟพูดถึงสาเหตุที่เขากำกับหนังเรื่องนี้ว่า

“ตอนที่ผมได้รับข้อเสนอให้กำกับหนังเรื่องนี้ ความคิดแรกคือ ไม่เด็ดขาด แต่ฌอน แดเนีย (หนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง) เกลี้ยกล่อมให้ผมลองอ่านบทภาพยนตร์ดูก่อน ซึ่งมันกลับกลายเป็นเรื่องที่มีความหมายอย่างมาก….เต็มไปด้วยตัวละครที่น่าทึ่ง และความคิดอ่านที่ลึกซึ้ง”

ถ้าอะไรในหนังเรื่องนี้ที่พอจะเรียกศรัทธาจากคนดูได้ อาจเป็นมือเขียนบท จอห์น ริดลีย์ เพราะริดลีย์มีดีกรีมือเขียนบทรางวัลออสการ์จากเรื่อง 12 Years a Slave เขาพูดถึงการเขียนบทหนังเรื่องนี้ว่า

“ผมอยากจะทำให้ความขัดแย้งระหว่างอดีตเพื่อนรักคู่นี้ มีทั้งความจริงจังและเป็นที่จดจำ พอๆ กับฉากแข่งรถศึกที่เป็นไคลแมกซ์ของเรื่อง”

หนังเรื่องนี้ไม่ขายดาราเลย ผู้แสดงเป็น เบนเฮอร์คือ แจ็ค ฮุดตัน ผู้ซึ่งมีผลงานผ่านตาผู้ชมไปเมื่อปีที่แล้ว ในบทผู้ร้ายจากหนังเรื่อง Pride & Prejudice & Zombies ส่วนคู่แค้น เมสซาลา แสดงโดย โทบี เคบเบลล์ ก็เพิ่งแสดงเป็นตัวร้ายในหนังเรื่อง Fantastic Four มี มอร์แกน ฟรีแมน คนเดียวที่เป็นดาราดังมารับบท อิลเดอริม ผู้สอนเทคนิคการแข่งม้าศึกให้เบนเฮอร์ แต่บทไม่ถึงกับเด่นมาก แถมทรงผมประหลาดสุดๆ

หนังเรื่องนี้ไม่ได้แย่มากมาย จริงอยู่ว่าเทียบไม่ได้กับความยิ่งใหญ่ อลังการของเบนเฮอร์ปี 1959 แต่หนังก็ดูสนุก เนื้อเรื่องกระชับ และมีความทันสมัยขึ้น ฉบับเก่าฉากเบนเฮอร์เป็นทาสฝีพายในเรือศึกกับฉากแข่งม้าศึก เป็นฉากยิ่งใหญ่ประทับใจ มาเวอร์ชั่นใหม่ทั้งสองฉากดูขลังสู้ของเก่าไม่ได้ แต่ความน่าดูยังคงมีอยู่ ฉากในเรือให้ความรู้สึกเหมือนผู้ชมอยู่ในเรือด้วย ในขณะที่ฉากแข่งรถก็สนุกและตื่นเต้นเหมือนนั่งดูอยู่ที่อัฒจันทร์

เนื้อหาของหนังไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียว แต่แก่นหลักยังคงเดิม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคที่คริสต์ศาสนากำลังถือกำเนิด จูดาร์ เบนเฮอร์ เป็นเจ้าชายแห่งเยรูซาเลม ในสมัยที่เป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรมัน ชีวิตพลิกผันให้ตกเป็นทาสในเรือศึกแม่ทัพโรมัน เมื่อรอดชีวิตกลับมาได้ เขากลับมาชำระแค้นเมสซาลาที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นทาส ด้วยการประลองแข่งขันม้าศึก

ที่เสริมขึ้นมามากกว่าเดิมคือ เรื่องราวของพระเยซู ซึ่งได้ รอดริโด ซานโทโร มารับบทนี้ หนังพูดถึงการเผยแพร่คำสอนของพระองค์ที่สั่นคลอนอำนาจกษัตริย์โรมัน จนเป็นเหตุให้ถูกตรึงด้วยไม้กางเขน และคำสอนเรื่องการให้ความรักและการให้อภัยของพระองค์ ก็ส่งผลถึงชีวิตของเบนเฮอร์และเมสซาร่า

เป็นอย่างไรลองไปดูเบนเฮอร์เวอร์ชั่นนี้กัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image