ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | สุพัฒน์ เจริญสรรพพืช |
เผยแพร่ |
“ไท-ไต” หรือ “ไท-กะได” ชื่อนามกลุ่มคนที่ยืนยันกันแล้วว่าไม่ได้อพยพถอยร่นลงมาจากเทือกเขาทุรกันดารแห่งอัลไต หากเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดและแพร่หลายขยายเผ่าพันธุ์อยู่ในย่านอุษาคเนย์ของไมเคิล ไรท์ ฝรั่งคลั่งสยาม ตั้งแต่ครั้งดึกดื่นดำบรรพ์
ในหนังสือเล่มหนาที่ชื่อ “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ” นั้น จิตร ภูมิศักดิ์ ได้สืบค้นความหมายของคำ “ไท-ไต” ที่ลึกไปกว่าการแปลว่า อิสระ หรือ เสรี โดยสำรวจในคำเรียกเก่าแก่ของชาวลาว ไทยอีสาน ไตลื้อสิบสองปันนา ในวรรณคดีล้านช้างเรื่อง ขุนเจือง ไทใหญ่รัฐฉาน ไปจนถึงแถบกวางตุ้งกวางสีถิ่นชาวจ้วง ซึ่งได้คัดข้อสรุปมาดังนี้
“เป็นสรุปกันทีว่า ไต-ไท มีความหมายดั้งเดิมว่า คน และหมายถึงคนทางสังคมที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เป็นหมู่พวก มิใช่คนทางธรรมชาติที่บอกประเภทพืชพันธุ์ว่าเป็นชนิดหนึ่งของสัตว์โลก
นั่นคือมิได้หมายถึง human being ซึ่งต่างจากสัตว์ หากหมายถึง people การแยกคำระหว่างคนทางธรรมชาติ (man, human being) กับคนทางสังคม (person, people) นี้
ถ้าลองสำรวจดูจะพบว่ามีอยู่ในหลายๆ ภาษาทีเดียว ข้าพเจ้ามั่นใจว่าภาษาตระกูลไทแต่ดั้งเดิม มีการจำแนกคนทางธรรมชาติ กับคนทางสังคม นั่นคือมีการจำแนกระหว่าง คน กับ ไท”
หากจะลองสืบค้นต่อยอดจากงานค้นคว้าของนักวิชาการผู้ล่วงลับ ลงไปถึงชั้นที่ว่าทำไมจึงต้องเรียกพวกตัวเองในชื่อคนทางสังคมว่า “ไท-ไต” โดยใช้แนวคิดยึดโยงความสัมพันธ์ระหว่างคำภาษาพี่น้องอุษาคเนย์แผ่นดินเหนือกับพี่น้องย่านอุษาคเนย์ทะเลใต้ อาจตีความได้ ดังนี้
เหนือ-ใต้ เท่ากับ บน-ล่าง
เชื่อมโยงคำเรียก ‘บ้านช่อง’ ฝั่งแผ่นดิน-ทะเลใต้
มีคำสองคำที่เราใช้กำหนดทิศทางนอกจากทิศตะวันขึ้นและทิศตะวันตกดิน นั่นคือทิศใต้ และทิศเหนือ หรือทิศหัวนอนและทิศปลายตีน คำเรียกของคนในสมัยก่อนที่จะนอนหันหัวไปทางทิศใต้และหันปลายตีนไปทางทิศเหนือ
ทิศเหนือและทิศใต้นี้มีความหมายที่มากไปกว่าเรื่องเครื่องหมายระบุทิศทาง หากกินความถึงสิ่งที่อยู่ข้างบนและสิ่งที่อยู่ข้างล่างด้วย เช่นบนหรือเหนือบ้าน และล่างหรือใต้ถุนบ้าน ที่นิยมยกสูงมีลานด้านล่างของคนไท-ไต ตั้งแต่ครั้งโบราณ เป็นบ้านในสมัยก่อนซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าเรือน หรือเฮือนที่มีเสาสี่ต้นรองรับค้ำยัน คล้ายเถียงนาในสมัยนี้
คำว่าเหนือและใต้ในความหมายที่แปลว่าบนหรือล่างนี่เอง จะพาไปเชื่อมโยงกับคำของพี่น้องชาวลุ่มแห่งทะเลใต้ เป็นคำเกี่ยวข้องแนบสนิทในกลุ่มก๊วนเดียวกับคำเรียกรูปลักษณะของบ้านช่องทั้งสองฟากฝั่ง ทั้งในแง่ของคำและความหมายเบื้องหลัง
ไต คือ ใต้ หมายถึง (คน) ที่ลุ่มหรือลานกว้าง
คำว่าข้างบน ของภาษามาลายูแถบอินโดนีเซียเขาใช้คำว่า “atas” อ่านว่า “อะ-ตัส” แต่มีอีกคำซึ่งสำคัญแสดงการไต่ขึ้นไปข้างบน คือ “naik” อ่านว่า “ไน้-อิค” เช่น “naik ke atas – ไน้อิค เกอ อะตัส” แปลว่าขึ้นมาข้างบน คำนี้ถ้าเรียกด้วยปากของชาวเหนือคงเป็นไปได้สูงที่จะหดสั้นถูกควบรวมเข้ากลายเป็นคำว่า “เหนือ” แทนที่
ในขณะที่คำว่าข้างล่างเขาใช้คำว่า “bawah” อ่านว่า “บา-ว่าห์” หรืออีกสองคำที่มีความใกล้ชิดกัน คือคำว่า “lantai” อ่านว่า ลัน-ไต และ “landai” อ่านว่า ลัน-ได โดยคำว่า “ลันไต” นอกจากจะหมายถึงชั้น ขั้น หรือบันได ยังหมายถึงพื้น หรือชั้นข้างล่างที่ต่ำกว่า หรือใต้ถุนก็ได้
เมื่อรวมกับคำเพื่อนพ้อง “ลันได” ซึ่งขยายความหมายออกไปเป็นที่ดินผืนราบ หรือลานกว้างที่มีความลาดเอียงน้อยๆ ที่อยู่เบื้องล่าง จึงอาจถูกเรียกขานตามเพรียวปากของน้า‘รงค์ –รงค์ วงษ์สวรรค์ ผู้ล่วงไปกาลข้างหน้าแห่งสวนทูนอินให้เหลือเพียงคำสั้นๆว่า “ไต” และ “ได” หรือในอีกคำว่า “ใต้” แค่นั้นล่ะกระมัง
จึงขอเสนอไว้ในที่นี้ว่าคำ “เหนือ” เป็นคำเดียวกับ “naik” และคำ “ใต้” เป็นคำในกลุ่มเดียวกับ “lantai” และ “landai” หดสั้นยืดยาวตามปากและนิสัยของพี่น้องชาวเหนือและชาวใต้
ซึ่งนำมาถึงความหมายและที่มาของคำว่า “ไท-กะได” หรือ “ไท-ไต” จากการยึดแนวคิดที่ว่ามี “ผู้คนสังคม” อาศัยอยู่บนที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ของแม่น้ำเจ้าพระยารุ่นลายครามในทวีปซุนดามาแต่ดั้งเดิม เมื่อครั้งยังเป็นยุคน้ำแข็ง ก่อนจะพลัดพรากแยกย้ายไปตามวิถีชาวลุ่มที่ราบต่ำ ผู้คุ้นชินในการอยู่อาศัยกับชายน้ำ จากการรุกไล่ของทะเลน้ำเค็มเมื่อสิบพันปีที่แล้ว บ้างคงกระจายตัวหนีหายไปทางภูเขาสูงในแถบนั้นจนกลายเป็นเกาะแก่งในภายหลัง หากบ้างคงล่องเรือขึ้นเหนือเลาะชายฝั่งไปทาง เวียดนาม ไหหลำ แผ่นดินจีน ถึงไต้หวัน และบ้างคงลัดเลาะหนีน้ำขึ้นไปตามลำเจ้าพระยาเข้าหาแผ่นดินใหญ่ นำพาวิถีวัฒนธรรมและความเชื่อติดตัวไปยังบ้านใหม่ ผู้ซึ่งเคลื่อนย้ายจากล่างสู่บน จากใต้ขึ้นเหนือ ผู้ซึ่งหนีน้ำท่วมโลกจากพื้นราบเมืองแห่งน้ำ มาพึ่งใบบุญเมืองฟ้าของปู่แถนบนแดนสูง
ผู้ซึ่งยังเรียกขานตัวตนและสังคมอย่างเหนียวแน่นว่า “ไท-ไต” หรือในอีกหนึ่งนัยความหมายว่า “ผู้มาจากวิถีแห่งชาวลุ่ม” นั่นเอง
สุพัฒน์ เจริญสรรพพืช เกิดที่จันทบุรี เมื่อ พ.ศ 2512 จบการศึกษาจากภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเดินทางไปสำรวจเหมืองถ่านหินในป่าฝนดิบชื้นแห่งหมู่เกาะทะเลใต้ ประเทศอินโดนีเซียเป็นเวลาหลายปี มีความสนใจพิเศษในด้านภาษาศาสตร์ จึงค้นคว้ารวบรวมข้อมูล พร้อมเสนอแนวคิดใหม่ผ่านบทความในชุด ‘สืบสานจากภาษา เชื่อมมหาสมุทร ขุดรากเหง้า คนไทยอยู่ที่นี่’ เผยแพร่ครั้งแรกใน ‘มติชนออนไลน์’