รีวิว 2 แอนิเมชั่นน่าดู Moana และ Trolls

รีวิว 2 แอนิเมชั่นน่าดู Moana และ Trolls

Moana

moana-poster-alt

แอนิเมชั่นของวอลท์ ดิสนีย์ ไม่เคยทำให้แฟนหนังผิดหวัง เรื่องนี้ก็เช่นกัน นอกจากจะขายงานภาพที่ประณีตงดงามแล้ว เนื้อหายังสนุกและมีเพลงประกอบเข้ากับเรื่องที่น่าฟัง ที่คนดูพูดกันมากในหนังเรื่องนี้คือ ดเวย์น จอห์นสัน หนุ่มกล้ามโตจอมบู๊ซึ่งพากย์เสียงเป็นมาวอิ มนุษย์ครึ่งเทพจอมกวนและหลงตัวเอง จะร้องเพลงชื่อ You’re welcome ให้คนดูฟัง

โมอาน่า (พากย์เสียงโดยสาววัยรุ่น ชาวฮาวายขนานแท้ ออลิอิ คราวาโล) เป็นลูกสาวหัวหน้าเผ่าชาวเกาะโมโทนุย เธอมีวิญญาณของนักเดินทะเลตั้งแต่เกิด และมหาสมุทรเหมือนจะเรียกร้องให้เธอล่องเรือไปปฏิบัติภารกิจบางอย่างกลางทะเล (โมอาน่า ภาษาโพลิเนเซียแปลว่า มหาสมุทร) พ่อของเธอไม่เห็นด้วย

แต่เมื่อเกาะที่เธออยู่อาศัยเริ่มเกิดวิกฤต โมอาน่านึกถึงนิทานปรัมปราที่ย่าเล่าให้ฟังว่า มนุษย์ครึ่งเทพ มาวอิ ( ดเวย์น จอห์นสัน) ไปขโมยหัวใจของเฟ-ติตี้ เทพผู้บันดาลความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ธรรมชาติเสียหาย การจะพลิกฟื้นกลับมา ต้องมีใครสักคนนำหัวใจเฟติตี้ ไปไว้ที่เดิม โมอาน่าจึงออกตามหามาวอิ และผจญภัยร่วมกันเพื่อนำความสมบูรณ์กลับมาสู่ถิ่นที่อยู่

Advertisement

พล็อตเรื่องนี้ไม่อิงเทพนิยายเรื่องใด ไม่มีการกล่าวถึงความรักระหว่างหนุ่มสาว จะมีก็แต่ความรักเผ่าพันธุ์และพวกพ้อง สัมพันธภาพระหว่างโมอาน่าและมาวอิ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน อาจเริ่มต้นจากความขัดแย้งไม่ชอบหน้ากัน โมอาน่าเป็นเด็กสาวที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง และมุ่งมั่น ในขณะที่มาวอิเป็นไอ้ขี้โม้ หลงตัวเอง และไม่ศรัทธาในตัวผู้หญิง

แต่หลังจากเดินทางผ่านมหาสมุทรแห่งความชั่วร้าย เผชิญอันตรายต่างๆ ร่วมกัน อาทิ คากาโมร่า โจรสลัดรูปลักษณ์คล้ายลูกมะพร้าว ปูยักษ์ซึ่งตะขอเบ็ดอาวุธวิเศษของมาวอิติดอยู่ที่หลังมัน ปีศาจลาวา

ทั้งสองก็ผูกพันกันมากขึ้น จนมาวอิต้องกลับมาช่วยโมอาน่าเพื่อปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ

Advertisement

บทรับบทส่ง การต่อปากต่อคำระหว่างโมอาน่าและมาวอิ ให้อารมณ์ขัน เรียกรอยยิ้มจากคนดูได้เป็นระยะๆ มาวอิไม่ใช่แค่ทะเลาะกันโมอาน่าเท่านั้น บางครั้งเขาก็ทะเลาะกับรอยสักจิ๋วรูปตัวเองที่สลักบนตัวเขา รอยสักนี้ไม่ใช่รอยสักธรรมดา สามารถเคลื่อนไหวได้ และเป็นเสมือนสิ่งคอยเตือนหรือกระตุ้นให้มาวอิกระทำในสิ่งที่ถูก เป็นไอเดียที่น่ารัก พอๆ กับที่สร้างทะเลให้เหมือนเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่ง สื่อสารกับโมอาน่าได้ เล่นบทผู้ช่วยนางเอก หรือม้วนตัวขึ้นมาหยอกล้อกับโมอาน่า

ผู้กำกับหนังเรื่องนี้คือ รอน เคลเมนท์ส และ จอห์น มัสเคอร์ ซึ่งเคยกำกับหนังเกี่ยวกับทะเลคือ The Little Mermaid และยังกำกับเรื่อง Aladdin, The Princess and the Frog ส่วนเพลงประกอบหนังได้ ลินมานูเอล มิแรนดา เป็นผู้ประพันธ์เพลง โดยมี มาร์ค แมนซิน่า ผู้เคยทำดนตรีประกอบหนัง Tarzan, Brother Bear เป็นผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบ

เพลงในหนังมีอารมณ์แบบชาวเกาะหลายเพลง แต่เพลงเด่นๆ ที่ขอกล่าวถึงคือ เพลง You’re Welcome ที่ดเวย์น จอห์นสัน ขับร้อง ไม่ใช่เพลงที่ไพเราะ แต่เนื้อหาและลีลาการร้องกวนๆ สอดคล้องกับบุคลิกของมาวอิที่หลงตัวเองและขี้อวด ฟังแล้วรู้สึกสนุกสนาน และขบขัน อีกเพลงคือเพลง How Far I’ll Go เพลงเพราะๆ ที่ อเลสเซีย คารา ร้องในนามโมอาน่า เป็นเพลงที่แสดงถึงตัวตนโมอาน่า และความมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันของตนเอง

การสร้างหนังเรื่องนี้ ทีมผู้สร้างใส่ใจรายละเอียดทุกอย่าง นอกจากเพลงจะมีอารมณ์ของชาวทะเลใต้แล้ว วิถีชีวิต วัฒนธรรมและประเพณีของชาวโพลิเนเซีย ก็ถูกนำมาบรรจุในเรื่องได้อย่างสมจริง ทั้งภูมิประเทศที่มีลักษณะเด่น การเดินเรือ การเต้นระบำและการดำรงชีวิต ทั้งนี้เพราะทีมผู้สร้าง ผู้กำกับ และนักแสดง ได้มีการลงไปสำรวจพื้นที่จริง เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตชาวเกาะ และนำมาประกอบภาพยนตร์ให้มีความสมบูรณ์ที่สุด

Trolls

Trolls-2016-movie-2

เมื่อรู้ว่าค่ายดรีมเวิร์คส์จะสร้างแอนิเมชั่นเรื่อง Trolls ก็เกิดสงสัยว่าจะสร้างเรื่อง Trolls แบบไหน เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับ Troll มีหลายตำนาน เป็นยักษ์บ้าง คนแคระบ้าง แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น ถ้าแถบสแกนดิเนเวีย Troll เป็นยักษ์ในจินตนาการของพวกไวกิ้ง อาศัยอยู่แถวถ้ำลึกที่มีหนองน้ำในป่าของยุโรปตอนเหนือ แต่ถ้าเป็น Troll Doll จะมีอีกลักษณะ เป็นตุ๊กตาหน้าตาตลก จมูกโต มีเอกลักษณ์เป็นทรงผมฟูแหลมที่สีสันแสบตา เป็นของเล่นที่โด่งดังในอเมริกาช่วง 1963-1965

เมื่อ Trolls เป็นแอนิเมชั่นสำหรับเด็กที่มีเพลงเป็นส่วนประกอบสำคัญ แน่นอนว่า Troll ในเรื่องนี้จะต้องเป็น Troll ตัวจ้อยที่มีสีสันและทรงผมที่โดดเด่นแสบตา ตัวละครแต่ละตัว มีรูปร่างหน้าตาหลากหลาย น่ารักน่าชัง สีผิวและสีผมเหมือนลูกกวาด ผมมีลักษณะพิเศษที่ยืดหดได้ และทำอะไรได้หลายอย่าง เช่น เป็นที่ยึดเหนี่ยวเกี่ยวพันกัน หรือเป็นอาวุธใช้สะบัดฟาดไปฟาดมาลักษณะเดียวกันกับแส้

หนังเรื่องนี้ได้ผู้กำกับ ไมค์ มิทเชล และวอลท์ ดอร์น ซึ่งเคยทำหนังแฟรนไชส์เรื่อง Shrek ได้นักเขียนบทรางวัลเอ็มมี่ เอริกา ริวิโนจา เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ ซึ่งอารมณ์ขันของเธอก็สุดยอด

หนังไม่ซับซ้อน เดาง่าย แต่มีวิธีเล่าเรื่องที่น่ารัก กล่าวถึงเหล่าโทรลล์สที่มีชีวิตแสนสุขไปวันๆ ชอบร้องเพลงเต้นรำ ทุกตัวจะสวมใส่นาฬิกาที่จะดังบอกเวลาให้กอดกันทุกชั่วโมง มีผู้นำคือเจ้าหญิงป๊อบปี้ (แอนนา เคนดริค) ส่วน แบรนซ์ (จัสติน ทิมเบอร์เลค) เป็นโทรลล์สผู้หวาดระแวง มองโลกในแง่ร้าย เขาไม่สังสรรค์กับพวกโทรลล์ส แต่กลับสร้างบังเกอร์อยู่ใต้ดิน เพื่อหลบภัยจากพวกเบอร์เกน แบรนซ์เชื่อว่า วันหนึ่งพวกเบอร์เกนจะต้องบุกจับโทรลล์สไปกิน

แล้วก็เป็นจริงตามคาด เบอร์เกนบุกจับตัวโทรลล์สไปหลายตัว ป๊อบปี้จึงขอร้องให้แบรนซ์ไปช่วย โทรลล์สสองตัวที่ต่างกันสุดขั้ว ต้องผจญภัยร่วมกันเพื่อช่วยโทรลล์สที่ถูกจับ

อ่านเนื้อเรื่องแล้วผู้ใหญ่อาจไม่อยากไปดู เพราะเนื้อเรื่องเด็กมาก แต่สิ่งดีงามในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพที่สดใสออกแนวแฟนตาซี หรือมุขตลกที่มีเป็นระยะๆ เท่านั้น แอนิเมชั่นเรื่องนี้ มาพร้อมเสียงเพลงที่ไพเราะมากๆ จัสติน ทิมเบอร์เลค นอกจากจะพากย์เสียงแบรนซ์ ร้องเพลงบางเพลงเองแล้ว ยังควบคุมงานเพลงทั้งหมด

เพลงในหนังเรื่องนี้มีประมาณสิบสามเพลง เป็นเพลงใหม่ห้าเพลง หนึ่งในนั้นคือเพลง Can’t Stop The Feeling ร้องโดย ทิมเบอร์เลค เพลงสนุกสนานคึกคักที่ทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่งบนชาร์ท Billboard Hit 100 ได้สำเร็จ และยึคครองตำแหน่งหนึ่งในสิบอันดับแรก ต่อเนื่องกันถึงสิบห้าสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีเพลงฮิตที่สุดแสนจะคลาสสิคและคุ้นเคย ยุค 1960–1980 หลายเพลง อาทิเพลง The Sound of Silence, Hello, September หรือเพลง True Colors เพลงที่เสริมสร้างกำลังใจ ที่มาอย่างถูกที่ถูกจังหวะ

หนังเรื่องนี้เหมือนโอโซนแสนบริสุทธิ์ ที่เสพได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นหนังที่ดูแล้วต้องเดินยิ้มออกมานอกโรง เด็กๆ สนุกสนานกับความน่ารักของโทรลล์ส ผู้ใหญ่ได้ฟังเพลงเพราะๆ ได้ข้อคิดเกี่ยวกับการแสวงหาความสุข

“ความสุขเกิดจากภายใน และคุณสามารถหาความสุขได้จากหลายทาง”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image