เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 4 มีนาคม ที่ห้องประชุมชั้น 9 อาคารมติชน มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ ระหว่างกลุ่มบริษัทมติชนกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ โดยมีนายฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ กรรมการและเลขานุการมูลนิธิฯ เป็นผู้ลงนาม
โดยนายฐากูรกล่าวว่า จะพยายามทำงานรักษาความร่วมมือนี้ด้วยความสามารถที่มีอย่างเต็มที่และเต็มใจ โดยหวังว่าความร่วมมือนี้จะผลิดอกออกผลในสังคมไทยตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
“โดยเครือมติชนนั้นมีเครือข่ายและช่องทางมากมาย จึงเป็นโจทย์ที่จะทำอย่างไรให้ความรู้กระจายออกไปได้มากที่สุด อะไรที่เป็นประโยชน์ก็ควรรีบทำเสีย และสัญญานี้จะมีต่อไปตราบเท่าที่ทั้งสองฝ่ายยังปรารถนากันและกัน” นายฐากูรกล่าว
นายชาญวิทย์กล่าวว่า นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ตั้งมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2509 จนถึงวันนี้ก็ครบรอบ 50 ปีพอดีที่มูลนิธิฯถูกตั้งขึ้น ประกอบกับปีนี้เป็นปีที่ครบ 100 ปีชาติกาล ป๋วย อึ๊งภากรณ์ พอดี โดยมูลนิธิฯนั้นตั้งมาในความปรารถนาตามคำกล่าวที่ว่า แสงสว่างเสมอด้วยปัญญานั้นไม่มี การทำงานเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนจึงเป็นอีกความปรารถนาและเป้าหมายหนึ่งของมูลนิธิฯ ส่วนตัวก็รู้จักกับนายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) กับนายสุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์และนักเขียนเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ครั้งหนึ่งยังเคยไปนั่งอยู่แถวถนนราชดำเนินด้วยกัน ก็คิดว่าแนวทางการทำงานน่าจะไปด้วยกันได้ พบว่ามีหลายอย่างที่เห็นตรงกัน ตนจึงดีใจมากที่ในวันนี้ได้มีโอกาสลงนามกับบริษัทในเครือมติชน เพราะจุดมุ่งหมายและงานในเครือมติชนนั้นก็ตรงกันกับของมูลนิธิฯ นั่นคือการสร้างประโยชน์ให้สาธารณชนอย่างมากที่สุด
“เมื่อหลายเดือนก่อน เปิดดูหนังสือพิมพ์เห็นมติชนลงนามกับหนังสือพิมพ์ธานเนียนของเวียดนาม จึงสนใจอยากลงนามบ้าง เพราะงานในแง่วิชาการของมติชนและของมูลนิธิฯ หนักไปทางด้านศิลปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว จึงคิดว่าน่าจะทำงานร่วมกันได้ เราสามารถร่วมมือกันในส่วนที่เราเหมือนกันได้ และความปรารถนาส่วนตัวคืออยากทำอะไรเพื่อสาธารณชน โดยเฉพาะในยามที่สังคมไทยต้องการสติปัญญาอย่างมหาศาลเช่นนี้” นายชาญวิทย์กล่าว และว่า หากมูลนิธิฯและเครือมติชนร่วมมือกันได้ จะทำให้งานด้านศิลปวัฒนธรรมที่เป็นดุจเจตนารมณ์ของนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯนั้นแพร่หลายออกไปกว้างขึ้นอีก เชื่อว่าการลงนามร่วมมือกันในครั้งนี้จะเกิดประโยชน์ทั้งในระดับชาติและระดับประชาชน
นายชาญวิทย์กล่าวอีกว่า มูลนิธิฯเน้นงานวิชาการที่มีความหลากหลาย ทั้งในแง่สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มีเป้าหมายเพื่อมุ่งสร้างสังคมในอุดมคติของป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งเป็นสังคมที่เรียกว่าสันติประชาธรรม และเป็นที่ทราบกันดีว่าในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความแตกแยกและขัดแย้งนั้น หลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติจึงจำเป็นในเวลานี้มาก ยุคนี้อาจเป็นยุคพิเศษที่เราต้องการสติปัญญา สิ่งที่ทางมูลนิธิฯ และเครือมติชนนำเสนอนั้น อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่นำสังคมไทยไปสู่แสงสว่างยังปลายอุโมงค์
“ติดตามอ่านผลงานที่ผ่านมาของมติชน ประกอบกับรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ก็ทำให้มั่นใจว่าสามารถทำงานร่วมมือกันได้ ทั้งนี้ มูลนิธิฯมีหนังสือในเครือประมาณ 200 เล่ม แต่ละเรื่องก็พิมพ์ได้ครั้งละ 1,000 เล่มเท่านั้น และพิมพ์ครั้งเดียวเพราะมูลนิธิฯเองมีปัญหาเรื่องเงินทุน บางเล่มก็คิดว่าน่าจะนำกลับมาพิมพ์ซ้ำเพราะตอนนี้เราอยู่ในยุคโปรโมตอาเซียนอยู่ การลงนามกับมติชนครั้งนี้จึงเป็นที่ยินดีมากเพราะลำพังหากทางมูลนิธิฯจะจัดกิจกรรมใดๆ เอง ก็จัดได้เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น จากนั้นก็ไม่มีกำลังแล้ว การลงนามครั้งนี้จึงเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญอย่างยิ่งของมูลนิธิฯ และเป็นอีกก้าวที่ทำให้ความปรารถนาของอาจารย์ป๋วยนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้” นายชาญวิทย์กล่าว และว่า ความหวังถัดจากนี้คืออยากกระจายความรู้ให้ออกไปไกลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากคิดว่ามหาวิทยาลัยในไทยยังไม่ผลักดันด้านความรู้ทางวิชาการอย่างมากพอ และเชื่อว่าหน่วยงานในเครือมติชนนั้นมีความชำนาญที่จะผลักดันเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศหลังจากนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น โดยผู้บริหารในเครือมติชน ร่วมรับประทานอาหารกับตัวแทนจากมูลนิธิฯอย่างชื่นมื่น
