แดดร่มลมตก อากาศกำลังดี เย็นวันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม ณ ร้านไรเตอร์ ซีเคร็ต ริมถนนนครสวรรค์ บรรยากาศในร้านคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
นั่นเป็นเพราะว่ามีการจัดกิจกรรมเสวนา “แกล้มชีวิต กับ กฤช เหลือลมัย”
ชักชวนกันมา “ล้อมวงคุย ว่าด้วยเรื่องขีดๆ เขียนๆ ครัวๆ” ซึ่งแน่นอนว่าวิทยากรหลักในกิจกรรมครั้งนี้ก็คือ กฤช เหลือลมัย ชายผู้มีความสามารถมากหลายด้านเหลือเกิน
กฤช เป็นทั้งนักเขียน กวี พ่อครัว นักวาดการ์ตูน นักปั่นจักรยานตัวยง และนักอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด
เมื่อว่าด้วยเรื่อง “แกล้มชีวิต” พลาดไม่ได้ที่เขาจะทำอาหารมาให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลองลิ้มชิมรส
เย็นวันดังกล่าว กฤชมาพร้อมกับ “ไข่ต้มวีรชน” ก่อนจะยื่นให้กับทีมงานเตรียมพร้อมไว้สำหรับแขกเหรื่อที่มาร่วมฟังเสวนา
ผู้เข้าร่วมฟังเสวนารับ “ไข่ต้มวีรชน” ฝีมือกฤช คนละฟองก่อนเดินเข้าร้านหนังสือ
บางคนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ด้วยค่อนข้างงุนงงกับไข่ต้มสีแดงที่มีเปลือกแตกๆติดอยู่ ก่อนจะได้รับคำอธิบายว่าเป็นกรรมวิธีการผลิต
กฤช เฉลยว่า วิธีการคือต้มไข่ให้สุก จากนั้นนำมากระเทาะเปลือกให้ร้าว อย่าแตกจนหลุด ส่วนน้ำที่ใช้ต้มไข่นั้น ใส่วัตถุดิบที่อยากให้มีกลิ่นหอมลงไป ในการนี้เขาใช้ โป๊ยกั๊ก อบเชย ไม้ฝางเพื่อให้มีสีแดง ปรุงรสด้วยซอส น้ำตาล แล้วแต่ความพึงพอใจ
จากนั้นนำไข่ลงต้มอีกรอบด้วยไฟอ่อนๆ คราวนี้ทั้งกลิ่นและสีก็จะซึมเข้าไปในไข่ ตักใส่จาน งานนี้กินแนมกับกุ้งจ่อมผัดหมูสับ มีผักเป็นเครื่องเคียง อร่อยอย่าแบ่งใคร
เสกสรร โรจนเมธากุล ช่างภาพข่าวหนุ่มบอกว่า สำหรับไข่ต้มวีรชนให้กลิ่นคล้ายไข่พะโล้ แต่บางกว่า ไม่เข้มมาก ขณะที่กุ้งจ่อมผัดหมูสับซึ่งกลิ่นเคียงรสเด็ด รับรู้ถึงหอม ตะไคร้ เรียกน้ำย่อย
โดยรวม ช่างภาพข่าวหนุ่มบอกว่า ค่อนข้างโอเค เป็นเมนูที่เหมาะกับการเป็นเป็นออร์เดิฟหรือกับแกล้มเรียกน้ำย่อย
ติดใจจากเมนูของกฤชกันแล้ว ก็ได้เวลาแกล้มชีวิตของเขา
เวทีเสวนาครั้งนี้นำคุยโดย ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย บรรณาธิการหนังสือมากฝีมือ
เริ่มต้นด้วยคำถามถึงการเข้าครัวทำอาหาร ?
กฤช บอกว่าเป็นเพราะการได้ช่วยแม่หยิบจับวัตถุดิบต่างๆ แต่ก็ไม่ได้ลองทำด้วยตัวเองหรอก เพราะผู้หญิงมีการเมืองเรื่องพื้นที่ในครัวอยู่ (ยิ้ม) ก็อาศัยการจดจำเอาว่าใส่อะไรบ้าง อย่างไร ตั้งไฟต้มนานเท่าไหร่ เป็นการแอบจดจำมา
ถามว่า “ทำอาหารกินเอง กับทำอาหารให้คนอื่นกินต่างกันมั้ย?”
กฤชตอบทันทีว่า “ต่าง” นิ่งคิดสักพักก่อนจะอธิบายว่า “ก็เหมือนการตัดเสื้อใส่เองกับให้คนอื่น อาหารเราก็ต้องดูว่าเขาอยากกินอะไร บางคนเคยชอบอย่างนี้ รสนี้ แต่พอเวลาเปลี่ยนไปแล้วก็ชอบกินอีกแบบ ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนบทสนทนา เหมือนการคุยกัน ก็ต้องติดตามชีวิตคนที่เราจะทำให้เขากินด้วย”
เข้าสู่คำถามเคร่งเครียด มองวัฒนธรรมการกินของคนยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองที่ไม่สามารถทำอาหารกินเองได้ อย่างไร?
กฤช บอกว่า ถ้าไม่สามาถทำกินเองได้จริงๆ ด้วยข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ก็สามารถเลือกได้ที่จะกินร้านที่โอเค หรือเลือกวัตถุดิบบางอย่างเองมากินได้ ทำให้เป็นเทรนด์ไปสิ คุณเป็นวัยรุ่นก็ใช่ว่าจะยอมจำนนว่าเมื่อทำกินเองไม่ได้แล้วโลกการกินมันจบสิ้นแล้ว มีเกษตรอินทรีย์อีกเยอะแยะ ในย่านทันสมัยในกรุงเทพฯอก็มีขายของพวกนี้ ทำไมไม่เอามาเป็นเทรนด์ส่วนตัวของตัวเอง ทำให้รู้สึกว่ามันเท่ การกินพืชผักที่ปลอดสารพิษ เป็นต้น
“ทำอาหารกินเองไม่ได้ ก็มีวิธีการที่จะหาทางออก และสนับสนุนคนทำอาหารที่ดีได้” กฤช กล่าว
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ที่กฤช ชวนคุยอย่างน่าฟัง คือการเปลี่ยนพืชที่คนมองว่าวัชพืชให้เป็นอาหาร
เขายกตัวอย่าง มะเดื่อ ไม้ใหญ่ใบหนามีลูกตามโคนกิ่ง ซึ่งในความหมายของวงการอาหารไทยมองว่าเป็นพืชที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ทั้งที่จริงๆแล้วลูกมะเดื่อสามารถกินได้ และตนเองนำมาทำแกงเขียวหวาน ใส่แทนมะเขือพวง หรือมะเขือยาว ซึ่งรสชาติจะหนึบๆ ไม่เละ และมีความมันอยู่ในตัว ขณะที่เคี้ยวเข้าไปข้างในแล้วจะรู้สึกกรอบ อร่อยมาก
“ก็เกิดความสงสัยว่า อร่อยขนาดนี้ ทำไมคนไม่กิน ซึ่งพอคนไม่กินมันก็ไม่มีประโยชน์ สมมติคนจะพัฒนาพื้นที่ ขยายอาคารอะไรต่างๆ มะเดื่อก็คงจะถูกฟันทิ้งโดยง่ายดาย เพราะเรามองว่าไม่มีประโยชน์ ลูกอะไรก็ไม่รู้ เละๆ ไม่น่ากิน แมลงหวี่ก็เยอะด้วย ทั้งที่จริงๆแล้วถ้ารู้ว่ามีประโยชน์ เราอาจจะห้ามไม่ให้มีการตัดทิ้งได้” กฤช กล่าว
นี่คือตัวอย่างของพืชที่เมื่อคนเห็นว่าเป็นวัชพืช
แต่ กฤช พยายามจะให้คุณค่ามันใหม่ให้เกิดประโยชน์
คือบางตอนจากเวทีเสวนา “แกล้มชีวิต กับ กฤช เหลือลมัย” ที่ให้รสชาติแปลก ๆ แต่เอร็ดอร่อยเป็นอย่างยิ่ง