อ่านกันอีกครั้ง! 3 ผลงานเด่น คว้ารางวัลชนะเลิศมติชน อวอร์ด 2558

ฝุ่น โดย ผการัมย์ งามธันวา

(ชนะเลิศประเภทกวีนิพนธ์)

ผการัมย์ งามธันวา

แรงลมแล้งล่องลอยคราวคล้อยบ่าย

โชยพัดไอร้อนจัดสะบัดร่าง

ผงฝุ่นธุลีน้อยลอยเคว้งคว้าง

Advertisement

ปลิวว่อนวนบนทางกลางแล้งไกล

พยับแดดซบผืนแผ่นดินเดือด

ฝอยฝนเหือดแห้งโหยโบยเกรียมไหม้

วูบลมหลงโรยพลิ้วหวาดหวิวภายใน

พาฝุ่นไพรพลัดเรือนจากเถื่อนดิน

จากเรือนชานเปลี่ยวร้างสู่ทางแยก

ระหกระเหินซบแทรกปนแปลกถิ่น

เพื่อปลายทางที่ดีกว่าทำมาหากิน

พาฝุ่นดินดงแดนสู่แมนเมือง

ฝุ่นกรำงานหนักหน่วงกลางห้วงแดด

ผ่าวผิวแผดสากกร้านนานนับเนื่อง

เป็นแรงงานรายวันหมุนฟันเฟือง

ฝุ่นสร้างบ้านแปงเมืองสุดบรรจง

ฝุ่นหินกรวดกระจายตัวทั่วเมืองกว้าง

ถมเส้นทางทอดไกลทุกปลายประสงค์

เป็นฐานรากปูร่างอย่างมั่นคง

ให้เหยียบย่างย่ำลงยามจรดล

เป็นฝุ่นดินกสิกรรมกว้างกลางทุ่งใหญ่

เพิ่มกำไรไร่นาสวนมวลผลิตผล

เพื่อพืชพรรณหมื่นสายเกิดกายตน

ให้ผู้คนลิ้มรสเขียวสดจากดิน

ฝุ่นเม็ดทรายพลีร่างสร้างดงตึก

หลอมผนึกผนังกำแพงทุกแห่งสิ้น

เป็นอาคารบ้านช่องหลืบร่องชีวิน

ได้อยู่กินสืบเผ่าพันธุ์มานานปี

ฝุ่นเจียมตัวทั่วตนทั้งรู้ค่า

ทุกชีวาเท่าเทียมเปี่ยมศักดิ์ศรี

ความเป็นคนจนยากหรือมากมี

ต่างแต่เพียงหนึ่งนี้คือเงินตรา

ผู้ประเสริฐเลิศล้ำจำเริญสุข

ไยผลักทุกข์หลุบลู่ผู้ต่ำกว่า

เย้ยหยันปานเสนียดสนิมร้ายบังนัยน์ตา

ถ่วงคุณค่าราศีเมืองศิวิไลซ์

ฝุ่นสรรค์สร้างสรรพสิ่งเป็นจริงสำเร็จ

เหงื่อทุกเม็ดหยดหลั่งจืดจางหาย

โมงยามผันผ่านเคลื่อนลืมเลือนกันไป

ลืมดวงใจผู้เสกสร้างเป็นรูปธรรม

มลังเมลืองเมืองยิ่งใหญ่แสงไฟกระจ่าง

ฝุ่นลอยเลื่อนเลือนร่างความเหลื่อมล้ำ

ตึกสูงลิบลับล้นผู้คนจดจำ

ผู้ต้อยต่ำปลิวร่อนเร่พเนจรจน

ฝุ่นสร้างเมืองเมืองสร้างประเทศประเทศสร้างโลก

ธงเมืองโบกสะบัดทั่วทุกแห่งหน

ผู้แร้นแค้นไร้ทางที่ยืนตน

ถูกลดค่าความเป็นคนเพียงคราบไคล

ยามราตรียลเยือนเมืองสว่าง

ทุกซอกตรอกถนนทางสว่างไสว

อลังการเมืองงามนี้เมืองดีของใคร

ฝุ่นร่ำไห้สบถด่าชะตากรรมเมือง

สัจนิรันดร์ของวันอาทิตย์ โดย ณพรรธน์ ตรีผลาวิเศษกุล

(ชนะเลิศประเภทเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์)

ณพรรธน์ ตรีผลาวิเศษกุล

เช้านี้คือเช้าที่วันอาทิตย์หายไปครบรอบ 2 ปี

ฉันตื่นขึ้นด้วยแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบเปลือกตา ย้ำเตือนฉันว่าดวงอาทิตย์ยังคงอยู่ที่เดิมตรงนั้นไม่ได้ขยับหายไปไหน เพียงแต่ว่ามันมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น

วันเดียวกันนี้เมื่อ 2 ปีก่อน ฉันไม่ได้ถูกปลุกด้วยแสงอาทิตย์ แต่เป็นเพราะเสียงประกาศของรัฐบาลที่ดังขึ้นจากลำโพงประจำบ้าน เสียงประกาศนั้นยาวนาน และนับเป็นเรื่องประหลาดในศตวรรษที่ 22 ซึ่งเราแทบไม่ได้ยินเสียงประกาศจากรัฐบาลดังขึ้นในลำโพงประจำบ้านกันเท่าไรแล้ว-ก็ทั้งโลกสงบสุขเสียขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม ฉันพยายามฟังมันด้วยสภาวะงัวเงียกึ่งตื่นกึ่งหลับ ไม่นานสาระสำคัญในประกาศก็กระชากฉันออกมาจากสภาวะงัวเงียได้ชะงัดนัก

ใจความของเสียงประกาศนั้นมีอยู่ว่า วงโคจรของโลกซึ่งเคลื่อนโคจรอย่างปกติเรื่อยมาเป็นเวลาหลายพันล้านปี และควรจะโคจรเช่นนั้นไปอีกตลอดกาล กลับผิดเพี้ยนไป จู่ๆ วงโคจรของโลกก็แคบลงกะทันหันในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน โลกโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ไปเล็กน้อย อย่างไรก็ดี โลกยังคงรักษาตำแหน่งแห่งที่ของการโคจรนั้นไว้ได้ โลกจะไม่เคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ไปมากกว่านี้ แต่ก็จะไม่เคลื่อนที่ออกมาไกลกว่านี้ อุบัติเหตุแห่งการโคจรนั้นทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นราว 0.5 องศาเซลเซียส และที่สำคัญเมื่อวงโคจรแคบลง โลกก็จะโคจรครบรอบดวงอาทิตย์เร็วขึ้น

เมื่อถึงตรงนี้ก็กลายเป็นว่าฉันกำลังนั่งฟังอย่างจดจ่อบนเตียงไปเสียแล้ว ในใจก็พลางนึกไปว่ารัฐบาลจะรับมือกับปัญหาอันใหญ่หลวงนี้อย่างไร และพลเมืองอย่างฉันจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไรบ้าง

ฉันพลิกตัว ความเหนอะหนะดึงฉันออกมาจากห้วงความคิด รอบเดือนของฉันเปรอะไปทั่วผ้าปูที่นอนสีขาว ยังดีที่ผืนผ้าในปัจจุบันถูกถักทอขึ้นด้วยนวัตกรรมพิโคเทคโนโลยีจึงไม่ยากต่อการทำความสะอาด ฉันรีบเคลื่อนตัวลงจากเตียงไปที่ห้องน้ำ ปลดเปลื้องเสื้อผ้า และก้าวเท้าเข้าไปใต้ฝักบัวเพื่อชำระล้างร่างกาย ระบบปรับอุณหภูมิน้ำอัตโนมัติเริ่มปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม ฉันสังเกตเห็นว่าอุณหภูมิน้ำบ่งบอกตัวเลขที่สูงกว่าทุกวัน 0.5 องศาเซลเซียส

ระหว่างอาบน้ำ ฉันไพล่นึกไปถึงเสียงประกาศของรัฐบาลเมื่อ 2 ปีก่อนอีกครั้ง ในเรื่องวิธีการรับมือกับปัญหาวงโคจรที่แคบลงของโลก ประการหนึ่งคือรัฐบาลจะต้องรักษาอุณหภูมิของโลกให้คงที่ เพื่อไม่ให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลาย และเกิดอุทกภัยใหญ่หลวงพาโลกทั้งใบจมลงสู่ใต้สมุทร

ปัญหานี้ไม่ยากเท่าไรนัก เพียงไม่กี่สัปดาห์รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็ร่วมประชุมหารือกัน ระดมสติปัญญาของนักวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ จนกระทั่งได้ข้อสรุปและรักษาอุณหภูมิของโลกไว้ได้ในที่สุด (ฉันไม่รู้หรอกว่าวิธีแก้ปัญหานั้นมีรายละเอียดอย่างไร รู้เพียงว่าพวกเขาแก้ปัญหานั้นได้ฉันก็โล่งอกเหมือนกับคนอื่นทั่วโลกแล้ว)

อีกประการหนึ่งที่อาจสำคัญกว่าคือ เมื่อวงโคจรของโลกแคบลง โลกโคจรครบรอบดวงอาทิตย์เร็วขึ้น จำนวนวันต่อปีที่ควรจะมี 365 ถึง 366 วัน จึงลดลง ความโชคดีในความโชคร้ายของโลกใบนี้คือเมื่อคิดคำนวณออกมาแล้วจำนวนวันต่อปีที่ลดลงไปนั้นเท่ากับ 52 วันพอดิบพอดี เช่นนี้รัฐบาลจึงประชุมหารือกัน (เหมือนอย่างการแก้ปัญหาอุณหภูมิของโลก) และหาข้อตกลงได้ว่า 1 วันต่อสัปดาห์จะต้องถูกตัดออกไป นับแต่นี้สัปดาห์หนึ่งจะมีเพียง 6 วัน และเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ วันที่ถูกตัดไปนั้นก็คือ วันอาทิตย์

แม้จะหาข้อตกลงจากรัฐบาลทั่วโลกได้แล้ว แต่ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจนักกับการที่วันอาทิตย์ต้องหายไป นั่นคือ “พวกกลุ่มความเชื่อเก่า” คนพวกนี้ยังคงยึดมั่นในศาสนา พวกเขาไม่พอใจที่วันอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับพวกเขาต้องหายไป “วันอาทิตย์คือวันพักผ่อนของพระเจ้า และพระองค์ทรงจัดให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์” พวกเขากล่าว “วันอื่นควรเป็นวันที่ต้องหายไปแทนวันอาทิตย์” พวกเขาเรียกร้องอย่างนั้นเสมอมา

ในโลกศตวรรษที่ 22 ที่ทุกคนเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังคงมีที่ทางให้กับพวกหัวโบราณอยู่บ้าง มนุษย์ควรให้เกียรติผู้อื่น แม้ว่าเขาจะมีความคิดที่ล้าหลังบ้างก็ตาม ดังนั้นการประท้วงของ “พวกกลุ่มความเชื่อเก่า” จึงเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าการประท้วงของพวกเขากลับใหญ่โตขึ้นทุกที เมื่อปีก่อนในงานวันครบรอบการหายไปของวันอาทิตย์ครบ 1 ปี การประท้วงอย่างใหญ่โตของพวกเขาเกือบจะบานปลายไปสู่การจลาจล แต่รัฐบาลมีความอดทนมากพอที่จะไม่ใช้ความรุนแรงกับพวกเขา พูดก็พูดเถอะ พอฉันได้เห็นความถือมั่นอย่างสูงสุดในความเชื่อประหลาดเพี้ยนของพวกเขาแล้ว จิตใจของฉันก็อดคลอนแคลนไปตามพวกเขาไม่ได้ บ่อยครั้งที่ฉันต้องบอกกับตัวเองว่า อย่าฟังคำพวกล้าหลังหัวโบราณและจงเชื่อมั่นในรัฐบาล

อย่างไรก็ดี เหตุการณ์วันนั้นจบลงตรงที่ “พวกกลุ่มความเชื่อเก่า” แยกย้ายกันกลับไป ข้อเรียกร้องของพวกเขาไม่สำเร็จ อันที่จริงฉันคิดว่าข้อเรียกร้องนั้นไม่เคยถูกรับไว้พิจารณาเลยเสียด้วยซ้ำ ในโลกศตวรรษที่ 22 ที่วิทยาศาสตร์คือความสูงสุด ข้อเรียกร้องนั้นก็เป็นเพียงสิ่งน่าขบขันเท่านั้น

ฉันเดินออกจากห้องน้ำ ตรงไปที่เตียงนอนเพื่อทำความสะอาด สีแดงฉานที่เปรอะไปทั่วทำฉันอดวิตกกังวลไม่ได้ ด้วยเหตุว่าในเมื่อไม่มีวันอาทิตย์อยู่อีกต่อไป รัฐบาลจึงออกกฎให้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวันอาทิตย์เป็นสิ่งที่ห้ามมีไว้ในครอบครอง สิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ที่ถูกผลิตขึ้นในวันอาทิตย์ งานวิชาการไปจนถึงงานศิลปะที่อ้างถึงวันอาทิตย์ แม้กระทั่งสีแดงซึ่งเป็นสีประจำวันอาทิตย์ก็กลายเป็นสีต้องห้ามเช่นกัน สีแดงไม่เคยปรากฏในที่สาธารณะมากว่า 2 ปีแล้ว ฉันเบือนหน้าไปจากเลือดแดงฉาน แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มหนึ่งที่หัวเตียงเพื่อให้มันจัดการทำความสะอาดตัวเอง จากนั้นจึงจัดแจงแต่งเนื้อแต่งตัว

วันนี้ฉันมีงานใหญ่ที่สำคัญสำหรับวันครบรอบการหายไปของวันอาทิตย์รออยู่

ฉันทำงานอยู่ในหน่วยประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลมาเกือบ 1 ปีแล้ว หน้าที่ของฉันคือการเป็น “นางแบบ” ให้กับรัฐบาลในการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ที่รัฐบาลผลิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารให้พลเมืองเข้าใจในนวัตกรรมต่างๆ ที่มีเพิ่มมากขึ้นแทบทุกวันเพื่อให้ชีวิตพลเมืองง่ายขึ้น ไปจนกระทั่งการสื่อสารให้พลเมืองเข้าใจใน “ข้อตกลง” ใหม่ๆ ของรัฐบาล เพื่อการปฏิรูปโลกทั้งใบให้ดำเนินไปในทิศทางที่มั่นคงและยั่งยืน

วันนี้ซึ่งเป็นวันครบรอบการหายไปของวันอาทิตย์ จะมีงานเปิดสถานที่สำคัญแห่งใหม่ขึ้น นั่นคือ “อนุสรณ์สถานวันอาทิตย์” สถานที่ที่จะรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับวันอาทิตย์เอาไว้ สิ่งต้องห้ามเกี่ยวกับวันอาทิตย์จะถูกนำมาจัดแสดงอยู่ที่นี่ แม้วันอาทิตย์จะไม่มีอยู่แล้ว แต่รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับวันอาทิตย์ได้อย่างน่าชื่นชม

หน้าที่ของฉันในวันนี้คือการเป็นนางแบบในพิธีเปิดอนุสรณ์สถานวันอาทิตย์ ฉันต้องยืนบนเวทีร่วมกับนางแบบอีก 6 คน ต่อหน้ามวลชนจำนวนมากที่มาร่วมพิธีเปิด นางแบบแต่ละคนคือตัวแทนของแต่ละวันในสัปดาห์ ฉันคือตัวแทนของวันอาทิตย์ ชุดที่ฉันใส่จะเป็นสีแดงสด สีที่ไม่มีใครเคยเห็นในที่สาธารณะมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ฉันตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้เห็นและได้ใส่ชุดนั้น ไม่ต่างกับนางแบบคนอื่นๆ

ระหว่างทาง ฉันนั่งอยู่บนรถที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองบนถนนลอยฟ้า ผ่านจอประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลขนาดใหญ่มากมาย ในจอประชาสัมพันธ์หนึ่งมีนางแบบกำลังเดินตัวปลิวกระฉับกระเฉง นั่นคือฉันเอง ตัวหนังสือปรากฏอยู่ด้านล่างของจอ ความว่า “สละวันอาทิตย์ ละทิ้งภาระ เพื่อหนึ่งปีที่กระฉับกระเฉงขึ้น” ฉันมองจอโฆษณานั้นพลางคิดว่า คนอื่นๆ จะมองตัวฉันบนจอด้วยสายตาอย่างไร จะรู้สึกกระฉับกระเฉงเหมือนอย่างที่ฉันนำเสนอหรือเปล่า แล้วจะทำให้พวกกลุ่มความเชื่อเก่า เห็นด้วยกับการสละละทิ้งวันอาทิตย์ได้หรือไม่

รถขับเคลื่อนด้วยตัวเองพาฉันมาถึงอนุสรณ์สถานวันอาทิตย์ คนจำนวนมากมารออยู่ที่นี่กันแล้ว ขณะลงจากรถ ฉันได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากฝูงชน พลันนั้นฉันก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นพวกกลุ่มความเชื่อเก่าเป็นแน่ งานพิธีใหญ่โตเกี่ยวกับวันอาทิตย์อย่างนี้ พวกเขาคงไม่พลาดโอกาสที่จะมาประท้วง เสียงของการประท้วงทำให้ฉันรู้สึกมวนท้อง อย่างไรก็ตาม ฉันแสร้งทำเป็นไม่สนใจการประท้วงนั้น และเดินตรงเข้าไปในสถานที่จัดงาน

อนุสรณ์สถานวันอาทิตย์เป็นอาคาร 2 ชั้น ด้านในกว้างขวาง พรมสีแดงปูไปทั่วพื้นโถงของอาคาร ชั้นล่างของอาคารมีงานศิลปะจัดแสดงรอบผนังทั้ง 4 ด้าน ทางเข้าด้านหน้ามีเสาใหญ่ต้นหนึ่งค้ำยันอาคารไว้ บนเสานั้นมีภาพวาดจิตรกรรมโบราณแขวนอยู่ ฉันเดินเข้าไปดูใกล้ๆ มีป้ายเขียนบอกชื่อชิ้นงานนั้นไว้ว่า “A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte” ลงชื่อศิลปิน ฌอร์จ-ปิแยร์ เซอราต์ ความใหญ่โตของภาพวาดนั้นทำเอาฉันต้องเพ่งพินิจพิจารณาถึงรายละเอียดของมัน ว่ากันตามจริง ฉันไม่ได้เห็นภาพวาดจิตรกรรมมานานแล้ว และตรงหน้าคือภาพวาดที่ฉันได้เห็นในรอบหลายปี ที่สำคัญมันคือภาพที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวันอาทิตย์

ภาพนั้นเป็นภาพของบ่ายวันอาทิตย์ ต้นไม้ใบหญ้าลู่ลมดูเย็นสบายและเงียบสงบ ผู้คนอยู่ในท่าทีผ่อนคลาย บ้างนอนเอกเขนก บ้างพูดคุยกับคนรอบข้าง หลายคนสวมเสื้อผ้าสีแดงสดใส เป็นวันอาทิตย์ที่งดงามอะไรเช่นนี้ ในขณะที่ฉันกำลังพินิจพิจารณาภาพวาดอยู่นั้น เสียงประท้วงก็ดังอื้ออึงเข้ามาถึงด้านในอนุสรณ์สถาน คำต่อต้านรัฐบาลและเชิดชูวันอาทิตย์ที่ฉันเห็นว่ามันน่าขบขัน มีแวบหนึ่งที่ฉันรู้สึกเห็นด้วยกับพวกเขา ฉันมองภาพวาดแห่งวันอาทิตย์นั้นไปและคิดว่าหากได้ลองใช้ชีวิตยามบ่ายวันอาทิตย์ เอนกายเอกเขนกบนพื้นหญ้าริมน้ำก็อาจจะดีเหมือนกัน

“สวัสดีครับ” เสียงคุ้นหูของใครสักคนดังขึ้น ฉันหันไปทางเสียงนั้น

“สวัสดีค่ะ วัชระ” ฉันยื่นมือออกไปทักทาย วัชระเป็นเพื่อนร่วมงานในหน่วยประชาสัมพันธ์ แต่ด้วยการทำงานที่ไม่ค่อยคาบเกี่ยวกันเราจึงไม่ได้คุยกันเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาได้กลายเป็นหัวหน้าผู้ดูแลอนุสรณ์สถานวันอาทิตย์แล้ว

“ภาพนี้สวยดีนะคะ” ฉันหันไปมองภาพวาดนั้นอีกครั้ง บ่ายวันอาทิตย์แสนสงบทำฉันไม่อยากละสายตาไปเลย

“เห็นคุณมองดูอยู่นานแล้วล่ะครับ แต่ขอโทษจริงๆ ผมคงต้องปลดภาพนี้ลงก่อน”

เมื่อเขาพูดจบ ก็เรียกเจ้าหน้าที่ 2-3 คนที่อยู่ใกล้ๆ มาปลดภาพวาดนั้นลง ฉันรู้สึกปั่นป่วนในใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรให้เขาเห็น วัชระพาฉันไปยังห้องแต่งตัว ในห้องมีนางแบบอีก 6 คนรออยู่แล้ว ดูท่าฉันจะมาสาย บางทีอาจเป็นเพราะเสียเวลากับการคิดสะระตะนานเกินไปหน่อย

เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสื้อผ้ายื่นชุดกระโปรงยาวสีแดงสดให้ฉัน ด้วยความรู้สึกผิดที่มาสายฉันรับชุดสีแดงสดนั้นมาและรีบจัดแจงเปลี่ยนชุดทันที

นางแบบ 7 คน แต่งชุดกระโปรงยาวตามสีสันประจำวัน ฉันกำลังยืนอยู่ด้านหลังเวทีกับเพื่อนนางแบบ เสียงปรบมือโห่ร้องยินดีดังกึกก้อง ฉันไม่ได้ยินเสียงประท้วงอีกแล้ว

“คงโดนจับไปหมดแล้วล่ะ” นางแบบประจำวันจันทร์พูดขึ้น

“พวกล้าหลังพวกนี้ ไม่น่ามีชีวิตรอดมาได้จนป่านนี้เลยนะ” นางแบบประจำวันเสาร์สมทบ

เจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งเรียกให้พวกฉันขึ้นไปบนเวที ฉันเดินขึ้นไปพร้อมกับนางแบบคนอื่นๆ พลันนั้นเสียงปรบมือก็ดังสนั่นขึ้นกว่าเดิม ฉันในชุดสีแดงสดประจำวันอาทิตย์ถูกจัดตำแหน่งให้อยู่ตรงกลางระหว่างนางแบบทั้ง 7 คน เมื่อจัดที่ทางการยืนได้แล้ว ชายร่างท้วมผู้เป็นประธานของพิธีก็ร่ายปาฐกถาเปิดงาน ใจความสำคัญของเขาคือการรำลึกถึงวันอาทิตย์ที่หายไป และชื่นชมพลเมืองทุกคนที่ยอมเสียสละวันอาทิตย์ เพื่อขับเคลื่อนโลกทั้งใบไปข้างหน้า

“พวกแกมันไอ้ตอแหล!” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากฝูงชนด้านล่างเวที

ประธานยังคงพูดต่อไปราวกับว่าไม่ได้ยินการด่าทอนั้น ฉันมองลงไปที่ฝูงชนด้านล่างเพื่อหาต้นตอของเสียง เช่นเดียวกับฝูงชนที่เริ่มมองหน้ากันไปมา

“ฉันรู้ว่าโลกยังอยู่ที่เดิม พวกแกโกหก!” เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง

หล่อนกำลังหมายถึงอะไร ฉันไม่เคยได้ยินถ้อยคำประท้วงแปลกประหลาดอย่างนี้มาก่อน วัชระรีบวิ่งห้อมาจากหลังเวที เขากระซิบให้ประธานถอยออกมาจากไมโครโฟน และเข้าไปยืนแทนตำแหน่งของประธานเอง ฉันรู้สึกว่าวัชระมีท่าทางคร่ำเครียดอย่างมากแต่กำลังสะกดความรู้สึกนั้นไว้

“คุณกำลังล้ำเส้นการประท้วงอยู่ กรุณาหยุดการกระทำนี้ด้วยครับ” วัชระพูดอย่างใจเย็น

“แกสิที่ต้องหยุด! พวกเรารู้แล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการโสโครก วงโคจรของโลกไม่เคยแคบลง วันอาทิตย์ไม่จำเป็นต้องหายไปไหน หรือแม้กระทั่งวันอื่นๆ ก็ด้วย!”

สิ้นเสียงของหล่อน ฝูงชนก็แหวกออก ในที่สุดฉันก็เห็นต้นตอของเสียงนั้น หล่อนเป็นหญิงสาวร่างผอมดูไร้เรี่ยวแรง แต่กลับมีแววตาที่เห็นได้ชัดว่าหล่อนเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ทันทีทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล 4 คนก็พุ่งตัวไปหาหล่อน และจับล็อกตัวให้นั่งลง

“สิ่งที่คุณพูดเป็นการดูหมิ่นรัฐบาลอย่างที่สุด กรุณาถอนคำพูดด้วยครับ”

“ไม่! มันคือเรื่องจริง ฉันรู้ว่าพวกแกกำลังทำอะไร!”

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตบหน้าหล่อนเข้าอย่างจัง ฝูงชนกรีดร้องและแตกฮือมากกว่าเดิม เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไม่เคยกระทำการรุนแรงกับพลเมืองมานานมากแล้ว วัชระมองดูแล้วผายมือขึ้นห้ามปราม

“เอาล่ะ เพียงคุณยอมถอนคำพูด เราจะไม่เอาความอะไรกับคำพูดไร้สาระของคุณ” วัชระยื่นข้อเสนอ

“ยังไงโลกก็ยังอยู่ที่เดิม!” หญิงร่างผอมตะโกนอย่างสุดเสียง

วัชระพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ล็อกแขนหญิงร่างผอมอยู่ เจ้าหน้าที่คนนั้นหยิบแท่งโลหะเล็กๆ คล้ายปากกาออกมาจากซองหนังข้างเข็มขัด เขาจ่อแท่งโลหะเข้าที่ขมับของหญิงสาว

“ยังไงโลกก็ยังอยู่ที่เดิม!”

เพียงสิ้นเสียงตะโกน หญิงสาวก็ล้มฟุบลง ฝูงชนเริ่มอยู่ในท่าทีหวาดกลัว เจ้าหน้าที่ทั้ง 4 คน อุ้มร่างแน่นิ่งของหญิงสาวขึ้น แล้วรีบพาออกจากฝูงชนไป

ฉันยืนมองดูเหตุการณ์นั้นอย่างตื่นตระหนก เลือดในกายเย็นเฉียบ ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าหญิงร่างผอมคนนั้นมองมาที่ฉันอยู่แวบหนึ่ง เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนที่หล่อนจะล้มฟุบไป สายตาคู่นั้นอาจจะเป็นสายตาแบบเดียวกับที่ฉันคิดสงสัยว่าคนอื่นๆ จะมองดูฉันบนจอประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลอย่างไร-หยามเหยียดระคนเอือมระอา เสียงตะโกนของหญิงสาวยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉัน ยังไงโลกก็ยังอยู่ที่เดิมอย่างนั้นหรือ ฉันนึกไปถึงภาพวาด “A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte” ถ้าโลกยังอยู่ที่เดิม ปีหนึ่งก็ต้องมีวันครบ 365 วัน

แล้ววันนี้จะเป็นวันอะไรกันเล่า จะเป็นวันเดียวกับวันนี้หรือจะเป็นวันอาทิตย์ หรืออาจจะเป็นวันอื่นๆ ที่เหลือในสัปดาห์

วัชระยืนอยู่ที่ไมโครโฟนกำลังพูดอะไรสักอย่างซึ่งฉันแทบไม่ได้ฟังเขาอีกแล้ว ภาพบ่ายวันอาทิตย์อันสงบร่มรื่นกำลังเลื่อนไหลอยู่ในหัว ระคนเสียงอึงคะนึงกึกก้องว่า “ยังไงโลกก็ยังอยู่ที่เดิม” ความอลหม่านในหัวของฉันกำลังเรียกร้องหาความสงบ และสิ่งที่ฉันทำกลับกลายเป็นการตะโกนออกไป

“ยังไงโลกก็ยังอยู่ที่เดิม!”

ใช่แล้ว ฉันตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง แล้วทุกสิ่งในหัวก็เงียบลง เช่นเดียวกับสรรพเสียงรอบตัว วัชระมองเขม็งมาที่ฉัน เขาดึงแท่งโลหะเล็กๆ ขึ้นมาจากซองหนังข้างเข็มขัดแล้วเล็งตรงมา ชั่วขณะนั้นเองสีแดงฉานก็พรั่งพรูขึ้นในดวงตา สีแห่งวันอาทิตย์ซึ่งกำลังปกคลุมเรือนกายและในขณะนี้มันก็กำลังไหลอาบจิตใจของฉันด้วย

ฉันนอนแผ่ราบไปกับพื้นด้านหน้าของอนุสรณ์สถานวันอาทิตย์ สติสัมปชัญญะกำลังหลุดลอยไป แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบเปลือกตาของฉัน ย้ำเตือนฉันว่าดวงอาทิตย์ยังคงอยู่ตรงนั้น และมันไม่ได้มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง โลกยังคงอยู่ที่เดิม ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว ไม่นานภาพทั้งหมดก็อันตรธานไปเช่นกัน

ในที่สุด ฉันก็พบกับความสงบของบ่ายวันอาทิตย์เฉกเช่นเดียวกับภาพวาดจิตรกรรม “A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte” ของ ฌอร์จ-ปิแยร์ เซอราต์ ไม่มีผิดเพี้ยน

เสื้อผ้า โดย จารี จันทราภา

(ชนะเลิศประเภทเรื่องสั้นทั่วไป)

จารี จันทราภา

ผมเกิดในปีพุทธศักราช 2513 ดำเนินชีวิตต่อมาในวัยทารกจนก้าวสู่วัยเตาะแตะและพ้นวัยเด็กเล็กอย่างไรนั้นไม่เคยจำได้ จำความได้ก็เห็นตัวเองมีเสื้อผ้าสวมอยู่แล้ว

จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าหรือ ใช่ พ่อบอกว่า คนแก้ผ้าไม่เคยมีอิทธิพลต่อสังคม ตอนยังเล็กพ่อและแม่ย้ำเสมอว่าห้ามแก้ผ้า ผมเชื่อเพราะกลัวแม่ไม่รัก ผมเชื่อพ่อเพราะกลัวพ่อลงโทษ เคยแอบถอดออกหนหนึ่งอย่างตื่นเต้นกับโลกที่ผมเคลื่อนผ่านโดยไม่มีเสื้อผ้าพันกาย ผมเรียนรู้ว่าโลกยามนั้นเหมือนกับสิ่งใดก็ตอนไปเยี่ยมยายที่จังหวัดเลย ยายแอบปลุกผมตอนเช้าตรู่ ผมงัวเงียไม่อยากลุก ยายบอกให้ถอดเสื้อผ้าแล้วออกตามยายมา ผมได้แต่เดินหาวตามหลังยาย เดินไปไหนไม่รู้จำไม่ได้ แต่จำภาพตลอดทางเดินได้ไม่ลืม ยายถามว่ารู้สึกว่าไง สบายตัวไหม ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าตอนนั้นยายก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ผมจำวันนั้นได้จนวาระสุดท้ายของชีวิต ภาพนี้เข้ากับภาพพ่อเฆี่ยนตีผมทุกครั้งที่ถอดเสื้อผ้า แม่ได้แต่ร้องไห้ แม่ช่วยผมไม่ได้เลย เพียงแค่หลุดรอดเสียงร้องพ่อก็จะหันไปทุบตีแม่ด้วย ผมต้องพยายามระงับเสียงร้องเก็บก้อนสะอื้นและอย่าขัดใจพ่อ ต้องใส่เสื้อผ้าต่างๆ ตามที่พ่อจัดให้ ไม่เคยได้ยินคำถามว่าอยากใส่หรือเปล่า ชอบไหม ได้ยินแต่คำว่าพ่อหวังดี พ่อหวังดีและพ่อหวังดี

ตลอดเวลานับสิบปีจึงเห็นตัวเองในกระจกทุกเช้า เป็นภาพคนสวมเสื้อผ้าที่ไม่เคยชอบ ภาพของตัวเองที่สะท้อนบนกระจกเงาที่ผมมองอย่างเย็นชา ขณะแปรงฟัน ขณะหวีผม ขณะเดินผ่านห้องน้ำ ขณะเดินผ่านหน้าพ่อแม่และใครต่อใคร ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมไม่ได้สวมเสื้อผ้า

จนกระทั่งมาพบเธอเข้าอายุของผมผ่านมาจนถึงปีพุทธศักราช 2545 นับกันตามมนุษย์ทั่วไป (ที่มีให้เห็น) ซึ่งกำหนดว่าสิ่งนี้ต้องเรียกว่าอายุ ผมก็มีอายุเข้าสู่ปีที่ 33 ปีแล้ว

ช่วงเวลานับจากจำความได้จนถึงสามสิบสามปีไม่มีเรื่องราวใดน่าจดจำและน่าใส่ใจนัก ผมใส่เสื้อผ้าไปโรงเรียน ถึงคาบเรียนพลศึกษาก็ยังต้องใส่ชุดพละ เล่นบาสเกตบอล เล่นตะกร้อ เวลากลับถึงบ้านไปช่วยแม่ขายขนมก็ใส่เสื้อผ้า ยามสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยก็ใส่เสื้อผ้า จนจบระดับอุดมศึกษาเดินเตะฝุ่นหางานอยู่ครึ่งปีก็ยังใส่เสื้อผ้าติดตัว เรื่องธรรมดาๆ ต่อมาอย่างทำงานเสมียน เช็กสต็อกสินค้าหรือออกตรวจงานตามปั๊มน้ำมันก็มีเสื้อผ้าเฉพาะตามที่พวกเขากำหนด ผมเป็นพนักงานธรรมดาๆ มีเสื้อผ้าธรรมดาติดตัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ตราบจนถึงเทศกาลปลดพนักงานในปีพุทธศักราช 2541 ผมกับเพื่อนพนักงานธรรมดาๆ จำนวนมากเป็นกลุ่มแรกที่พวกเขาเลือกปลด ตอนกำเงินเดือนสุดท้ายเจ็ดพันห้าร้อยสี่สิบสามบาทโดยไม่มีเงินชดเชยหรือเงินใดๆ สำหรับชีวิตที่เขาเรียกกันว่ายุคเศรษฐกิจตกต่ำนั้นผมก็ยังใส่เสื้อผ้าตามที่เขากำหนด ผมเคว้งคว้างในบ้านที่ไร้เงินผ่อนธนาคารจนถูกธนาคารยึด ต้องออกมาเช่าห้องพักแคบๆ กับพ่อและแม่ จนแม่รู้ว่าพ่อมีเมียอีกคนอยู่ทางเหนือ การปิดบังมาตลอดสามสิบปีเต็ม ทำให้ตอนพ่อหลับแม่กรอกยาฆ่าหญ้าใส่ปากพ่อ ก่อนจะแขวนคอตาย พ่อไม่ตายตอนนั้นแต่มาข้ามถนนถูกรถชนตายหลังฟื้นไม่นาน ตอนจ้องพวกเขาในร่างไร้วิญญาณนานหลายนาทีผมก็สวมเสื้อผ้าที่พ่อแม่บอกให้ใส่เสมอตั้งแต่เล็ก ในงานศพผมก็มีเสื้อผ้าอีกแบบ ทุกอย่างผ่านไปตามประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติ ญาติๆ เพื่อนๆ ชมว่าผมเข้มแข็ง มีแรงจัดงานศพสองงานติดต่อกันได้อย่างเหลือเชื่อ พวกเขาถามถึงทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ พวกเขาคิดว่ามีมากและขอแบ่ง หลังพร่ำบอกออกปากชมว่าเสื้อผ้าชุดที่ผมสวมใส่สวยไม่ขาดปาก ผมดูดีอย่างนั้นอย่างนี้เมื่อใส่เสื้อผ้าชุดนั้นชุดนี้ ทั้งๆ ที่ผมสวมชุดบ้าบอคอแตกนี้มาตั้งแต่เกิด หลังพูดว่าไม่ต้องอธิบายใช่ไหม ทำไมผมกับพ่อกับแม่ถึงได้มาอยู่ห้องเช่าแคบๆ พวกเขาก็จากไปพร้อมคำสาปส่งและกลับมองเสื้อผ้าชุดเดิมที่เขาเคยชื่นชมอย่างดูแคลน

ผมพบเธอตอนอายุเลยเลขสามแล้ว ยามนั้นดำรงชีวิตตามแบบอย่างคนสวมใส่เสื้อผ้าทั่วไป เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อที่น่าจะมีอายุมากที่สุดที่ประจำหน้าร้าน อาจจะเพราะเจ้าของร้านบอกว่าชุดที่ผมใส่มาสมัครงานสวย จึงช่วยเหลือให้มีงานทำ งานนั้นไม่ยาก ไม่ซับซ้อน หากไม่ยกสินค้าเข้าไปเรียงในห้องเก็บ ก็ยกออกมาเรียงวางบนชั้นเพื่อรอคนซื้อ ผลัดเปลี่ยนกับพนักงานคนอื่นๆ หมุนเวียนกันประจำเคาน์เตอร์เก็บเงิน ทุกคนชมว่าชุดผมสวย ผมไม่เคยมีปากเสียงกับใครเลย เพราะไม่เคยพูดเรื่องของคนอื่น ไม่เคยดูโทรทัศน์ เพราะไม่มีจึงไม่เคยดูละครทีวี จึงไม่มีเรื่องราวให้แลกเปลี่ยน ผมอยู่ในห้องโดยหมุนคลื่นวิทยุฟังเพลง ไม่เคยชอบคลื่นใดดีเจคนไหนเป็นพิเศษ ทุกๆ คลื่นต่างเปิดเพลงเหมือนๆ กัน ครั้นถึงเวลาง่วงก็นอน หิวก็กิน ได้เวลามาทำงานก็มา งานมีอย่างไรก็ทำงานไปอย่างนั้น ไม่ต้องมีคำถาม ไม่ต้องสงสัย

ตอนที่เธอเดินตุปัดตุเป๋มาซื้อของในร้านนั้นผมไม่ได้ประจำเคาน์เตอร์ กำลังจะเลิกงานพอดี เพื่อนพนักงานพูดเสียงดังว่าไม่มีเงินก็ไว้วันหน้ามาซื้อใหม่ ผมหันมาทันเห็นเธอเดินโซเซออกจากร้าน ผมถามเพื่อนพนักงานว่าเธอซื้ออะไรและราคาเท่าไหร่ เพื่อนตอบว่าอย่าไปสนใจเลย ผมถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อเพื่อนบอกผมรีบหยิบของ จ่ายเงินแทนและวิ่งไปยื่นให้เธอ นั่นคือบะหมี่สำเร็จรูปซองละห้าบาทในปีพุทธศักราช 2545 เธอถามว่าทำไมถึงซื้อให้ รวยนักเหรอ ผมตอบว่าเปล่า แต่จำได้เวลาที่ท้องหิวและไม่มีเงินซื้อเป็นอย่างไร

เธอแหวใส่ว่า ใครว่าฉันไม่มีเงินซื้อ ฉันรวยนะ ฉันทำงานธนาคารกินเงินเดือนหลายหมื่น แล้วก็โงนเงนคอพับคออ่อนก่อนจะแน่นิ่งไป ผมประคองเธอนอนยาวลาดกับพื้นไม่ไกลจากร้าน ตัวเองนั่งพิงกำแพงจนเวลาผ่านไปเท่าใดไม่ทราบ รู้สึกตัวเมื่อเธอได้สติตื่นขึ้นมา

เธอมองหน้าผม เหมือนจะตกใจเสียด้วยซ้ำ เธอสลัดศีรษะพลางผงะออก “แฮ้งอีกแล้วหรือนี่ แล้วนี่คุณเป็นใคร มานั่งใกล้ฉันทำไม”

“คุณตื่นแล้ว ผมกลับห้องล่ะนะ ผมก็ง่วงเหมือนกัน” ผมตอบ

เดินมานานแค่ไหนจำไม่ได้ จำได้เพียงว่าได้ยินเสียงเรียก ก็หันไปเห็นเธอโบกมือและวิ่งตรงเข้ามา นี่คุณลืมของไว้ เธอพูดและยื่นถุงพลาสติกแก่ผม ในถุงพลาสติกนั้นคือบะหมี่สำเร็จรูปหนึ่งซองที่ผมซื้อให้ ผมจึงบอกว่า ของคุณ

“ของชั้นเหรอ” เธอสะบัดศีรษะ “ฉันว่าฉันจำได้ เมื่อคืนฉันไปหาเพื่อน กินเหล้ากัน ฉันว่าฉันกลับบ้านแล้วนะ แต่เอ ทำไม อ๋อ ใช่ ฉันหิว แต่ไม่มีเงิน ใช่แล้ว คุณนี่เองใช่ไหมที่ยื่นถุงนี้ให้”

ผมไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้ม “ไปล่ะนะ ง่วง”

ตอนนั้นน่าจะตีห้าได้แล้ว ฟ้าเริ่มสาง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องเข้ากะอีก จึงเดินกลับห้องเช่า ล้มตัวลงนอน ตื่นมาอีกครั้งด้วยเสียงนาฬิกาปลุก แล้วทุกอย่างทำท่าจะเหมือนเดิม เมื่อจะหยิบเสื้อผ้าสวมใส่ ผมได้ยินเสียงผู้หญิงถามว่า “ทำไมต้องใส่เสื้อผ้า”

ผมมองที่มาของเสียงและเห็นภาพอย่างรางเลือน ตอบไปว่า “ไม่ใส่ไม่ได้ มีแต่คนบอกให้ใส่” ผมกำลังจะสวมเสื้อผ้า มีมือมาดึงกางเกงผมออก ถอดเสื้อผมออก แล้วจูบผมที่ริมฝีปาก ผมไม่ได้ใส่เสื้อผ้าตอนที่รู้สึกตนเองตกไปอีกสถานที่หนึ่ง สถานที่ไม่เคยพบเจอ เป็นสัมผัสสุดประหลาด

“เห็นมั้ยคะ ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้”

ตื่นขึ้นมาอีกหน ข้างกายไม่มีเธอ ผมควานหาเธอไปรอบๆ ก้มดูใต้เตียง เรียงไล่เปิดตู้เย็นตู้เสื้อผ้า เปิดทุกที่แม้กระทั่งลิ้นชักหวังได้พบเธอแต่ไม่มี เดินลงไปถามยามรักษาความปลอดภัยหน้าหอพัก เห็นเธอเดินออกไปทางไหนหรืออาจจะฝากอะไรไว้ให้ผม ยามยืนยันว่าเห็นผมเมื่อคืนนี้เพียงคนเดียวและเช้านี้ไม่มีใครมาฝากอะไรทั้งสิ้น

ผมไปทำงานสายและถูกตักเตือน ตลอดกะผมใจลอยกดหน้าจอจี้บาร์โค้ดพลาด หยิบของให้ลูกผ้าผิด ดูเหมือนจะรวนไปหมด กระทั่งเดินสะดุดเท้าลูกค้าคนหนึ่งซวนเซพาเอาชั้นวางล้มระเนระนาดไปด้วย ผมถูกผู้จัดการร้านสั่งพักงานเสียงแข็ง

ครบกำหนดสามวัน ยังไม่ไปทำงาน ผมไม่มีกะจิตกะใจเลย กระทั่งเวลาผ่านไปสิบวัน เมื่อไปทำงานก็ไม่มีงานให้ทำแล้ว

หลังครุ่นคิดอยู่หลายวัน ธนาคารแรกที่ผมเลือกยืนเดินนั่งวนเวียนอยู่รอบๆ ธนาคารนั้น ใช้เวลาสองสัปดาห์โดยไม่พบแม้แต่คนที่มีบุคลิกใกล้เคียงเธอเลย ผมเปลี่ยนธนาคารเวียนไปจนแทบหมดสาขาในตัวจังหวัด เหลือเพียงแห่งสุดท้าย

วันนั้นผู้คนเดินขึ้นลงบันไดมากมาย รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ผ่านเข้าออกนับคันไม่ถ้วน ผมมองดูเวลาบนโทรศัพท์มือถือ สิบเอ็ดโมงแล้ว เป็นสายของอีกวันหนึ่งที่มองเห็นภาพเบื้องหน้ารางเลือน ผมรู้ว่าตัวเองมาธนาคารตลอดสามเดือนเพื่ออะไร

ด้วยภาพเบื้องหน้าอันรางเลือน ทว่า กลับแน่ใจว่าเห็นเธอเข้าแล้ว รีบปรี่เข้าไปทัก เธอจำผมไม่ได้ ยิ่งเท้าความเล่าถึงเหตุการณ์ในห้องเช้านั้น เธอไม่เพียงปฏิเสธกลับตะคอกใส่หน้า แถมตบหน้าผมฉาดใหญ่ กระชากเสื้อผ้าผมจนหลุดลุ่ย เธอตะโกนใส่ว่า “น้ำหน้าอย่างแกเหรอจะได้แอ้มชั้น”

นับแต่วันนั้นเสื้อผ้าได้หายไปจากร่างกายผม ผมเดินไปขอซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ทุกร้านไม่ยอมขาย ร้านสุดท้ายที่ขายให้ก็เป็นเสื้อผ้าสภาพทรุดโทรมเหมือนเตรียมทิ้ง ผมพยายามสวมใส่แต่ไร้ผล แม้จะพยายามลองครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม ผมกลายเป็นคนใส่เสื้อผ้าไม่ได้ ทุกครั้งที่สวมร้อนรุ่มไปทั้งตัว โลกของผมที่เกิดขึ้นเฉพาะตอนถอดเสื้อผ้าในห้องคนเดียว

โลกที่มัวหม่นและเต็มไปด้วยอาภรณ์ติดตัว ไม่ใช่โลกของผมอีกแล้ว

ผ่านมาอีกสามปีเต็มๆ เป็นช่วงเวลาที่โลกของผมเบาหวิว ผมค่อยๆ แอบนำเสื้อของคนที่ถอดทิ้งมาสวมใส่ทีละชิ้นจนกลมกลืนไปตามที่ต่างๆ ได้ ผมตระเวนเปลี่ยนงานเปลี่ยนที่อยู่ไปทั่ว เป็นยามดูแลโกดังเอย พนักงานเติมน้ำมันเอย นั่งล้างจานในตลาดเอย จนสวมเสื้อวินมอเตอร์ไซค์เป็นอาชีพล่าสุดก็ยังล้มเหลว ผมปล่อยให้ขโมยเข้าโกดัง พลาดเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ลูกค้ารถสปอร์ต ทำจานแตกและพาลูกค้าตกคลองข้างทาง ผมขาดความมั่นใจ ไม่เคยเชิดหน้าเดิน ไม่เคยยิ้มหัวให้ใคร จนวันที่เดินผ่านหน้าที่ทำการสาขาพรรคการเมืองแห่งหนึ่งที่เปิดรับคนร่วมขบวนหาสียง เดินตามหลังนักการเมืองเวลาหาเสียงในพื้นที่ ผมสมัครและได้งาน

เช้ารุ่งขึ้นทันทีที่ลืมตาก็รู้สึกว่ามีชุดใส่ที่สวยงาม ชีวิตต่อจากนั้นสนุกดีและมีข้าวกินครบสามมื้อ เงินเบี้ยเลี้ยงแทบไม่เคยใช้ นอนที่สาขา อาบน้ำที่สาขา นอนหลับและหลับนอนกับเสมียนประจำสาขาก็ในห้องประชุมสาขา เวลากว่าสามสิบวันที่ทำให้รู้สึกตัวเองกร่างขึ้นมาไม่น้อย ผมตระหนักถึงอานุภาพของการมีเสื้อผ้าที่ทรงอำนาจอีกครั้ง

ผมพบเพื่อนร่วมงานสมัยทำงานร้านสะดวกซื้อ เมื่อทราบว่าทำงานอะไร เขาก็วานให้ช่วยฝากลูกเข้าเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดกับนักการเมือง นักการเมืองรีบรับจัดการให้เมื่อทราบว่าอยู่ในเขตเลือกตั้ง เพื่อนวินมอเตอร์ไซค์ที่เคยไม่ใส่ใจผม ดูท่าทีเปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้จัดการร้านที่เคยไล่ผมออกยิ่งแล้วใหญ่ เขาเห็นตอนนักการเมืองพูดหยอกล้อกับผม คงคิดว่าผมใหญ่โตเป็นคนใกล้ชิดนักการเมือง ถึงกับยกมือไหว้ตอนปะหน้ากัน

ฮ่า เราคงใหญ่จริงๆ ผมแอบคิด

ตอนนี้เองที่ร้านขายเสื้อผ้ายอมขายเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่ๆ ราคาแพงๆ ให้ ทว่า ลักษณะรูปร่างผมกลับเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า

การเดินตามก้นสวมใส่เสื้อผ้าคนติดตามนักการเมืองอยู่พักหนึ่งทำให้หลงเตลิดไปไม่น้อย ทุกอย่างท่าจะไปได้ดี นักการเมืองดันมาถูกยิงตายหลังวันลงคะแนนเลือกตั้งไม่กี่วัน ผมอยู่ในเหตุการณ์ชุลมุนด้วย เสื้อผ้าขาดแหว่งวิ่น เปื้อนเลือด เปื้อนฝุ่น

ไม่นานจากนั้นผมกลับมาอยู่ในห้องเช่าแคบๆ ทางเดินรกๆ สกปรกอีกครั้ง ผมเห็นป้ายรับสมัครคนขายเนื้อย่างริมถนน ผมได้งานและนั่งพลิกพวงเนื้อไปมาบนเตาย่างสลับกับหยิบใส่ถุงให้ลูกค้า เสื้อผ้าเก่าๆ ชุดหนึ่งอยู่ข้างเตียงหลังจากนั้นสองสามวัน

จนวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีรถพุ่งเข้าชน ตัวผมกระเด็นไปไกลแค่ไหนไม่รู้ พยายามพาตัวเองกลับมายืนที่เก่าจนได้ เห็นคนมากมายมุงรอบตัวผม ทันใดราวกับว่าอยู่ในห้องเย็น มันหนาวมาก ผมมองดูตัวเองถูกห่อหุ้มแล้วพาร่างนั้นไปที่ใดก็ไม่รู้ สติเลอะเลือนง่วงงุนจนหลับไปโดยไม่รู้ตัว มาได้สติอีกหนพวกเขากำลังเข็นร่างผมอยู่ ผมดิ้นพรวดพราด ได้ยินเสียงคนพูดว่ายังไม่ตายนี่ ยังไม่ตาย

นี่เสื้อผ้าโรงพยาบาล นางพยาบาลยื่นให้ผมไปเปลี่ยนเองในห้องน้ำ ผมทำท่าปฏิเสธ คุณจำเป็นต้องใส่ เก็บเสื้อผ้าชุดเก่าของคุณไว้ก่อน เสื้อผ้าที่ถูกต้อง อยู่ในที่ที่เหมาะสม เธอบอก และเธอพูดเสียงแข็งอีกครั้งเมื่อเห็นไม่ยอมทำตาม

ผมใช้ชีวิตด้วยชุดที่ออกจากโรงพยาบาลอีกหลายปี จนกระทั่งหมดลมหายใจในปีพุทธศักราช 2558 โดยกินขนมจีนน้ำยาร้านตลาดนัดใกล้บ้าน

คืนนั้นถ่ายท้องไม่หยุดจนเสียชีวิต

ไม่มีใครมางานศพเพราะไม่มีงานศพ เจ้าของห้องเช่ารื้อค้นทั่วห้อง ได้เงินสามพันสามร้อยบาท หักค่าห้องแล้วถวายเงินส่วนนี้แก่หลวงพ่อ หลวงพ่อกับหลวงพี่อีกรูปยืนสวดให้ผมที่นอนในโลง ตอนนั้นได้แต่แน่นิ่งดูความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผมไม่รู้ทำไมเขาไม่เผาศพผม

ข้างล่างใต้ดินนี่เย็นชะมัด เหนือดินกลบหน้ามีต้นไทรหยั่งรากลึกชอนไชแม้กระทั่งกะโหลกศีรษะยามนี้ รากกำลังจะชอนไชถึงชุดที่ผมใส่แล้ว สัปเหร่อสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ผม เขาคงรีบร้อนละมั้งถึงไม่ได้ติดกระดุมเม็ดบน ได้ยินเขาพูดก่อนโกยดินกลบหน้า

“ใส่เสื้อผ้าให้มัน สงสาร”

จนไร้ลมหายใจแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามไม่เคยถามผมเลยว่า อยากสวมเสื้อผ้าหรือไม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image