เล่าเรื่องหนัง : Cruella จากนางร้าย สู่ความขบถ ท้าทายสังคมและฉันนี่ล่ะคืออนาคต!

การตีความตัวละครที่คนดูทั่วโลกคุ้นเคยเพื่อมาเล่าในบริบทใหม่ยังเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่เสมอในแวดวงภาพยนตร์ เพราะมันให้เกิดทั้งความสดใหม่ สร้างมิติที่กว้างขวางขึ้นในการมองตัวละครที่สุดแสนจะคุ้นชินมาเล่าเขย่าในบริบทที่เปลี่ยนไป วิธีนี้จะเรียกว่าเป็นหนึ่งในสูตรสำเร็จก็ว่าได้ แต่ก็ใช่ว่าสูตรนี้จะได้ผลทุกครั้ง หลายเรื่องก็แป้ก แต่หลายเรื่องก็ได้รับเสียงชื่นชม

ล่าสุดกับภาพยนตร์เรื่อง “Cruella” ที่ตีความและนำเสนอมุมมองใหม่ให้ตัวละคร “ครูเอลล่า เดอ วิล” ที่ถือเป็นหนึ่งในตัวร้ายระดับตำนานของแอนิเมชั่นวอลต์ดิสนีย์เรื่อง “101 Dalmatians”

ด้วยคาแร็กเตอร์ภาพจำตัวร้ายผมสองสีทูโทนขาวดำ มาพร้อมเสียงหัวเราะที่แสนบ้าคลั่ง ซึ่งภาพจำของคาแร็กเตอร์ “ครูเอลล่า” นั้นยังติดลิสต์ “ตัวละครสุดร้ายกาจ” ซึ่งนอกจากตัวแอนิเมชั่นจะเก่าแก่ขึ้นหิ้งตั้งแต่ปี 1961 แล้ว ยังเคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในยุค 90 ได้ “เกล็นน์ โคลส” นักแสดงหญิงที่ขึ้นชื่อเรื่องการสวมบทหญิงร้ายๆ ออกแนวอาฆาตจิตๆ มารับบทเป็น “ครูเอลล่า” ดีไซเนอร์ที่หลงใหลแพตเทิร์นลายจุดขาวดำ และพยายามจะฆ่าลูกหมาดัลเมเชียนเพื่อนำขนและหนังมาทำเครื่องแต่งกาย ซึ่งถ้าใครได้ดูเวอร์ชั่นภาพยนตร์ก็จะพบว่า “เกล็นน์ โคลส” ให้การแสดงที่ไร้ความปรานีอย่างถึงที่สุด

กระทั่งการมาถึงของ “Cruella” ในปี 2021 ที่ได้ “เอ็มม่า สโตน” นักแสดงหญิงชื่อดังมาสวมบท “ครูเอลล่า” ที่มีการตีความสังเคราะห์ตัวละครใหม่ ซึ่งพลังดาราของเธอก็ออกฤทธิ์ออกเดชให้คาแร็กเตอร์ของ “ครูเอลล่า” ในหนังเรื่องนี้มีเสน่ห์และเปลี่ยนภาพจำกับตัวละครนี้ไปได้ ถึงแม้ตัวหนังเองจะมีนักวิจารณ์แบ่งเป็นสองขั้วทั้งกลุ่มที่ชอบและกลุ่มที่ไม่ประทับใจกับเนื้อเรื่อง แต่ทั้งหมดก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนที่น่าสนใจที่สุดก็คือการแสดงของ “เอ็มม่า สโตน” ในหนังเรื่องนี้ ตามมาด้วยเพลงประกอบภาพยนตร์ ที่ซาวด์แทร็กของหนังขนเพลงดังย้อนยุคมาจับจังหวะได้ดีบนฉากที่อุดมไปด้วยความพังก์ร็อกของลอนดอนยุคทศวรรษ 70 อาทิ The Zombies, Nancy Sinatra, David Bowie, The Clash, ELO, Rose Royce, Blondie, Doris Day, Suzi Quatro, Nina Simone และ Deep Purple ซึ่งการวางจังหวะเพลงซาวด์แทร็กในแต่ละฉากคัดมาได้อย่างมีรสนิยม

Advertisement

สุดท้ายคือเคมีการแสดงของสองนักแสดงนำในเรื่องอย่าง “เอ็มม่า สโตน” และ “เอ็มม่า ทอมป์สัน” ในบท “บารอนเนส” คู่ปรับของครูเอลล่า ส่วนอื่นๆ ที่เสริมอรรถรสความบันเทิงคือฉากของเหล่าสุนัขต่างๆ ที่่มีทั้งแสดงจริงและผสมซีจีคอยใส่มาแย่งซีนเป็นระยะ รวมทั้งอีกจุดสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ แฟชั่นเสื้อผ้าของครูเอลล่าที่มาในสไตล์กลิ่นอายพังค์ๆ ชวนให้นึกถึงผลงานแฟชั่นแนวขบถเฉียบเท่กึ่งดิบๆ ของดีไซเนอร์ดัง “อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน” ผู้ล่วงลับ

สำหรับ “ครูเอลล่า” ในเวอร์ชั่นตีความใหม่นี้ พาเราย้อนอดีตไปตั้งแต่วัยเด็กที่เธอยังเป็นเด็กหญิง “เอสเตลล่า” ผู้มีความขบถ นิสัยร่าเริง มีความคิดสร้างสรรค์ ดื้อรั้น พูดจาตรงไปตรงมา อาร์ติสต์ แฟชั่นนิสต้า และแน่นอนกับผมสองสีโดยกำเนิดที่ข้างหนึ่งเป็นสีดำอีกข้างเป็นสีขาว ด้วยวิถีที่ทำให้เราเห็นตั้งแต่เด็กว่าเอสเตลล่าเป็นผู้ไม่นิยมทำอะไรตามแบบแผน และบางครั้งก็ดูเป็นเด็กแสบไม่แยแสใดๆ หลายพฤติกรรมที่ทำให้แม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงเธอมานั้นต้องคอยปรามอารมณ์ด้านมืดอีกขั้วของเธอไว้ เมื่อความฉุนเฉียวโมโหร้ายเกิดขึ้นมาเมื่อใด เอสเตลล่าต้องคอยระลึกให้ได้ว่าความร้ายกาจอีกด้านที่เธอเรียกขานตัวเองว่า “ครูเอลล่า” นั้นต้องถูกจำศีลไว้ให้ได้

กระทั่งเรื่องพลิกผันเมื่อแม่ของเธอเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาคลุมเครือว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับสุนัขดัลเมเชียนที่ดุร้าย และทิ้งให้เอสเตลล่าวัย 12 ปี ต้องเป็นเด็กกำพร้าเผชิญชีวิตหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง ไปเข้าแก๊งลักเล็กขโมยน้อยกับเด็กวัยไล่เลี่ยกัน ก็คือ “แจสเปอร์” และ “ฮอเรซ” ที่ในต้นฉบับเดิมสองคนนี้เป็นลูกสมุนชั่วร้ายคอยไปไล่จับลูกสุนัขดัลเมเชียนให้ครูเอลล่า แต่มาในเวอร์ชั่นนี้ ทั้งสามคนกลายมาเป็นเพื่อนกันในแก๊งที่เลี้ยงชีพด้วยการลักเล็กขโมยน้อยจนเข้าสู่วัยรุ่น จนกระทั่งได้มาพบกับบารอนเนสที่ขับดันให้ด้านมืดที่โหดเหี้ยมในแบบครูเอลล่าเผยโฉมออกมา

Advertisement

โดยภาพรวมภาพยนตร์ “Cruella” ตีความเรื่องราวของ “ครูเอลล่า” ให้ดูเป็นมนุษย์ขึ้น และชี้ให้เห็นถึงเหตุผลเบื้องหลังในชีวิตที่ทำให้เธอเปลี่ยนจากสาวน้อยเอสเตลล่าอันสดใสมาเป็นครูเอลล่าผู้จองจำตัวเองไว้กับด้านมืด

หนังเลือกใช้วิธีตีความใหม่ให้ “ครูเอลล่า” เวอร์ชั่นนี้เป็นขบถที่ท้าทาย “บารอนเนส” สาวสังคมชั้นสูงศัตรูคู่อาฆาตของเธอที่เป็นทั้งเจ้านาย และเจ้าแม่แฟชั่นดีไซเนอร์เจ้าของอาณาจักรแฟชั่นอันโด่งดังแห่งลอนดอน ซึ่งสไตล์ที่หนังออกแบบมาให้ครูเอลล่ารุ่นลูกปะทะฝีมือกับบารอนเนสรุ่นแม่นั้น ก็สนุกน่าติดตาม เพราะเป็นการต่อสู้ในแบบฉบับคนรุ่นใหม่ที่สร้างความปั่นป่วน ดุดัน ไร้ระเบียบ ท้าทายคนยุคก่อน โดยเฉพาะการประกาศว่าฉันนี่แหละคืออนาคต (แห่งวงการแฟชั่น) ด้วยคาแร็กเตอร์ศิลปินขบถที่ขายความคิดสร้างสรรค์แบบฉูดฉาดท้าทายสังคม

ครึ่งเรื่องหลังเราจึงได้เห็นการไล่ล่าแก้แค้นที่บ้าคลั่งของ “ครูเอลล่า” ที่พัฒนาเข้าสู่ความดาร์กไปเรื่อยๆ เพื่อให้สมน้ำสมเนื้อกับบารอนเนสคู่ปรับที่ร้ายกาจไม่แพ้กัน และในที่สุดตัวตนในแบบเอสเตลล่าก็เริ่มเลือนหายไป มีเพียงครูเอลล่าเข้ามาแทนที่เต็มตัว

โดยสรุปภาพยนตร์เรื่อง “Cruella” คือความพยายามล่าสุดของสตูดิโอ Disney ในการรื้อฟื้นตัวละครเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงด้านร้ายกาจนำมาปรับให้เข้ากับคนดูรุ่นใหม่ ซึ่งผลลัพธ์ก็สามารถเปลี่ยนภาพจำใหม่ให้ครูเอลล่าที่โลกเคยรู้จักมานานกว่า 60 ปี ไปได้เลยทีเดียว

ติสตู

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image