‘คุ้ย ทวีวัฒน์’ เล่าถึงความโชคดีในโชคร้าย มาถึงวันที่รายได้ ‘ธี่หยด’ ยังทะยานไม่หยุด
ตัวเลขรายได้หนัง ‘ธี่หยด’ ยังทะยานไม่หยุด จนล่าสุดก็ก้าวเข้าสู่ 300 ล้านบาท ซึ่ง คุ้ย ทวีวัฒน์ วันทา ผู้กำกับเผยความรู้สึกกับ ‘มติชนออนไลน์’ ว่า ทั้งตื่นเต้น ทั้งงง
ที่เป็นอย่างนั้นเพราะที่ผ่านมา หนังของเขาไม่ว่าจะเป็น ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’, ‘อสุจ๊าก’, ‘อนุบาลเด็กโข่ง’ และ ‘ทองสุก 13’ ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
“ส่วนมากเหมือนจะขาดทุนด้วยมั้ง ที่ผ่านมามาตลอด 20 ปี จนธี่หยดรายได้พุ่ง เราก็ตกใจ เพราะไม่เคยคิดว่าจะมีตัวเลขอะไรแบบนี้”
ผู้กำกับที่เริ่มกำกับหนังจากเรื่อง ‘ขุนกระบี่ ผีระบาด’ เมื่อปีพ.ศ. 2547 และถูกขานชื่อให้เป็น ‘ผู้กำกับที่คนดูอยากกระโดดถีบที่สุด’ จากชาวเน็ต บอกด้วยว่า ตอนนั้นเขาเลือกทำ “หนังเฉพาะกลุ่ม หนังบ้าๆ บอๆ ซึ่งยังไงก็ไม่น่าจะดังอยู่แล้ว”
รู้แหละ แต่เลือกทำเพราะความชอบ
“เป็นหนังที่อาร์ต ไม่ได้แมส” เขาว่า
ขณะเรื่องอื่นๆที่ตามมาแม้จะถูกพูดถึงบ้าง แต่ไม่ได้จัดว่าเปรี้ยง
ถามว่าท้อไหม กับช่วงระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา คุ้ยตอบแบบไม่กั๊ก “ท้อครับ”
หากก็ยังสู้ เพราะ “รู้สึกว่ามันยังเดินหน้าได้”
ขณะเดียวกัน “โชคดีที่มีแบ๊คอีพดี เช่นครอบครัว เขาบอกว่าถ้ามันผิดหวังก็กลับมากินข้าวที่บ้าน” นึกถึงคำนั้นแล้ว เจ้าตัวก็หัวเราะ
“คือส่วนมากจะได้กำลังใจที่ดี และมีพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ในวงการ”
เขายังเล่าอีกว่า ในห้วงเวลาดังกล่าวเพื่อประคองความฝันในการเป็นผู้กำกับหนัง เขาเลือกใช้วิธีทำงานอื่นควบคู่ เพื่อจะได้สามารถเลี้ยงดูตัวเอง
“จริงๆ ผู้กำกับภาพยนตร์เป็นอาชีพลำบากครับ เพราะว่ามันขัดใจหลายๆ อย่าง ค่าตัวเอย อะไรเอย กว่าหนังจะเสร็จ แล้วก็รายได้อะไรแบบนี้ ผมเลยตั้งรับไว้ เบี่ยงมาเข้าวงการทีวีเพื่อหารายได้จากละคร แล้วเมื่อถึงจังหวะที่ทำหนังได้ ก็จะทำ”
“คือหนังเหมือนทำแล้วสนุก เป็นเหมือนแพชชั่นของเรา แต่ถามว่าเลี้ยงตัวเองได้ไหม ไม่ได้ครับ มีผู้กำกับน้อยคนที่จะยึดผู้กำกับภาพยนตร์เป็นอาชีพ มีไม่กี่คนครับในประเทศไทย”
สำหรับเรื่อง ‘ธี่หยด’ คุ้ยบอกว่า ตั้งใจทำให้เป็นหนังสยองขวัญ
“แล้วคือมันเป็นการอ้างอิงที่ผมชอบ คือเรื่อง Evil Dead ชื่อไทยคือผีอมตะ มันจะเป็นผียั่วล้อกับคน แล้วมันกวนประสาท เป็นผีที่หัวเราะใส่คนดู แล้วก็จะหลอกแบบบ้าๆ บอๆ หลอกแบบกวนๆ ซึ่งสไตล์นี้อยู่กับผมมาตั้งแต่ทองสุก จนมาถึงธี่หยด ก็จะเป็นอีกแบบนึง”
แบบที่คนดูสะท้อนกลับว่า “ชอบความ non stop ชอบความบู๊ ชอบคนสู้ผี ชอบความดุเดือด เป็นไลน์แอ๊กชั่นด้วย”
“และส่วนมากที่ชอบ คือตั้งแต่ที่ณเดชน์เริ่มเข้ามาในบ้าน แล้วก็บู๊กันเลย”
*เออ…มันมาถึงเว้ย
“สไตล์เราเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมไม่น่าจะมีใครเอานะ เพราะผมทำขุนกระบี่ฯ ในพันทิปก็ถูกจัดเป็นอันดับที่เป็นผู้กำกับที่คนดูอยากกระโดดถีบที่สุด”
ดังนั้นความรู้สึก ณ วันนี้ของเขาจึงเป็น “เออ…มันมาถึงเว้ย อะไรแบบนี้”
ก่อนหน้าที่ ‘ธี่หยด’ จะเข้าโรง คุ้ยบอกว่า ใจเขายังหวังแค่ว่าจะไม่ขาดทุน
อย่างไรก็ดี ถ้าหากเกิดขาดทุนเข้าจริงๆ ก็คงยอมรับได้โดยง่าย
“ผมชินแล้ว ผมมีสกิลในการไม่ประสบความสำเร็จสูงมากครับ”
ความยากลำบาก ตอนไม่ประะสบความสำเร็จก็เคยเจอมา วันที่มีเงินเหลืออยู่ในธนาคารแค่ร้อยกว่าบาท
“น่าจะเป็นช่วงอสุจ๊าก” เขาเล่า
บอกด้วยว่าตอนทำหนังเรื่องดังกล่าว ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นจนเข้าฉาย ใช้เวลานานถึง 3 ปี ระหว่างนั้นนอกจากทุ่มเทให้งานชิ้นนี้ ก็มีรับงานแบบจ็อบเล็กๆ ได้มา ใช้ไป ได้มา ใช้ไป จนวันหนึ่งก็เหลือเงินเท่าที่ว่า
วันนั้นเขาตั้งใจจะไปตลาดนัด เพื่อซื้อแกงมากินกับข้าว แต่โชคร้ายเจอตู้ ATM ดูดบัตร ทั้งเนื้อทั้งตัวจึงมีเงินเหลือเพียง 20 กว่าบาท
“ก็เอาวะ ถุงเดียวนี่แหละ” คือสิ่งที่เขาคิด
ก่อนจะโชคร้ายซ้ำ ที่ซื้อเสร็จดันทำถุงแกงตกแตกอีก
“โอ๊ย! อะไรเนี่ยชีวิต สะบัดมาก”
“ตอนนั้นผมเลยมีความรู้สึกว่าเราจะไม่อยู่ในสภาพนี้ เราต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้ ต้องต่อสู้เว้ย”
จากนั้นก็ลุยทำทุกงานเท่าที่จะหาได้
“แล้วโชคดีอย่างที่บอก ที่บ้านดี ถ้าไม่รอดยังไง ก็ไปกินข้าวบ้าน ถ้าโดนที่บ้านด่า ผมคงไม่ได้มาวันนี้”
“แล้วอีกอย่างที่โชคดี คือตอนนั้นผมหาสูตรก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ ผมเลยได้ไปทำหนังเหมือนเดิม ถ้าตอนนั้นผมหาสูตรได้ ผมคงเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว”
แล้วก็คงไม่ได้มี ‘ธี่หยด’ มาให้เราๆ ได้ดูอย่างทุกวันนี้