ทิม พิธา ลั่นเน้นความรู้สึก น้องพิพิม เป็นหลัก ห่วงโตไปต้องมาเห็นข่าวความขัดแย้ง

จากกรณีที่ ต่าย ชุติมา ลิ้มเจริญรัตน์ เดินทางเข้าลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ที่ สน.ปทุมวัน ภายหลังได้มีการนัดหมายกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพื่อนำลูกมาส่งมอบตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะผลัดกันเลี้ยงดูลูกคนละ 5 วัน แต่วันนี้กลับไร้วี่แววของสามีและลูกน้อย

และแม้ไฮโซทิมได้โพสต์ไอจีระบุว่า น้องพิพิมปลอดภัยดี แต่กระแสสังคมกลับแตกเป็นสองส่วน และต่างวิจารณ์ครอบครัวนี้ทั่วโลกออนไลน์ จนล่าสุด ทิม พิธา ได้ขอตั้งโต๊ะแถลงข่าวเปิดใจถึงเรื่องทั้งหมดกับสื่อมวลชนที่ แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55 โดยเจ้าตัวเปิดใจมาว่า ที่ผ่านมาความรักของตนถึงทางตันเป็นระยะ 13 เดือน ซึ่งตนพยายามประคับประคองอย่างเต็มที่แล้ว แต่สุดท้ายบทบาทสามีภรรยาของตนและต่ายก็สิ้นสุดลง แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่าอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ตนหวังจะเป็นพ่อแม่ที่ดีต่อลูก และเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าครอบครัวของตนเกิดความขัดแย้งอย่างที่ประชาชนทั่วไปรับรู้ ตนมีความต้องการอยากเลี้ยงลูกให้เติบโตมาอย่างมีเสถียรภาพ ตนคิดว่าลูกอาจไม่ได้อยากเข้ามาอยู่ในความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่ ที่กำลังเป็นข่าวใหญ่อยู่ ณ ขณะนี้

“ผมเป็นห่วงลูกสาวเป็นหลัก พอเป็นห่วงกับสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้น  ก็ต้องยอมรับว่าลูกได้รับผลกระทบพอสมควร เครียด สับสน จากความผิดของแม่พ่อ ตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา มันมีปัญหาจากงานแยกบ้านระหว่างผมและต่าย ผมได้รับคำแนะนำมาว่า จะปล่อยให้ลูกมารับกรรมจากความไม่เข้าใจของผู้ใหญ่ไม่ได้”

Advertisement

สำหรับตนนั้นคิดว่าการที่เด็กอายุ 2-3 ขวบ ต้องย้ายที่อยู่ทุก 5 วัน นั้นไม่ใช่เรื่องดี

“มีใครอยากย้ายบ้านทุก 5 วันบ้างครับ มีใครอยากใช้ชีวิตที่ทุก 5 วัน ต้องย้ายไปคนละบ้าน โดยไม่มีคำอธิบายไหม  พูดได้แค่นี้ว่า ผลที่จะตามมากับใจเด็กจะเป็นอย่างไร เพราะเขาโตมาในบ้านผมตลอด ”

ตนได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่าความผาสุขของลูกเป็นสิ่งสำคัญ ความมั่นคงทางอารมณ์ของลูกเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นตนจะปล่อยให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำๆกับลูกสาวไม่ได้ จึงอยากเจรจากับทางภรรยาให้ช่วยกันกำหนดการเลี้ยงลูกอย่างมีเสถียรภาพ และไม่ให้เกิดความสับสน

Advertisement

“ในวันหนึ่งถึงจุดที่ต้องพึ่งคนกลาง ผมจะตัดสินใจฟ้องหย่า เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา”

ตนตัดสินใจทำแบบนี้ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อที่จะปกป้องลูกให้ได้ ขอสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร

“ถึงมีสิทธิก็ไม่ใช่ว่าเราจะใช้สิทธินี้ในการบังคับหรือทำอะไรตามชอบใจนะ”

หลังจากนั้นเกิดการไต่สวนเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา คุณต่าย ชุติมา ขาดนัดศาลไม่ได้มา ศาลจึงพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน แต่เนื่องจากยังไม่ได้ไปจดทะเบียนหย่า ตามกฎหมายอีกฝ่ายจึงยังเป็นภรรยาตนอยู่

“และให้สิทธิปกครองบุตรอยู่กับผมแต่เพียงผู้เดียว ให้โอกาสผมได้กำหนดวิธีการเลี้ยงดูบุตรอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อความมั่นคงของลูก ตอนนี้ต่าย กำลังยื่นอุทธรณ์ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหาครับ”

แต่หลังจากนี้ตนตั้งใจจะเจรจากับภรรยาเพื่อหาวิธีการเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพสูงสุด และไม่อยากให้ลูกต้องมาเป็นผลลัพธ์ของปัญหาระหว่างตนและภรรยา ให้ลูกโตมาเป็นคนมีความมั่นคงทางอารมณ์

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ห้างแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปยังที่นัดหมาย แต่ในใจคิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในการส่งมอบลูกให้กัน เนื่องจากทุกครั้งเกิดปัญหา

“ก็เพราะหลายครั้งปัญหากัน ถ้าครั้งนี้มีปัญหาก็ไม่เป็นไร ผมก็คิดว่าพอแล้วที่ลูกจะมาเป็นผลลัพธ์ความขัดแย้งของพ่อแม่ และคงเจรจาไม่ให้ไป”

“ถ้าลูกยิ้มแย้มแจ่มใส เราก็โอเค ถ้าส่งมอบครั้งนี้มีปัญหาผมคงยอมไม่ได้  ”

“ขอพูดตรงนี้เลยว่าไม่ได้กีดกัน ต้องการให้แม่มีส่วนในการเติบโตของลูก ที่ผ่านมาเราล้มเหลวในแง่ของสามีภรรยา แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่  คุยกันให้ชัดเจนว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร ”

“จากนี้ขอวิงวอนไม่อยากเอาสิทธิเลี้ยงดูบุตรมาใช้พร่ำเพื่อ อยากขอว่าพอได้แล้ว เธอมาหาลูกได้ทุกเมื่อดีกว่า มาหาที่บ้านแล้วกัน แทนที่ให้ลูกย้ายไปมา เราเป็นผู้ใหญ่ทำไมเราไม่เป็นคนย้าย   ”

ส่วนความขัดแย้งอย่างที่ 2 คือ ตอนนี้ลูกสาวของตนมีชื่อเป็นนักเรียนอยู่ 2 โรงเรียนในเวลาเดียวกัน โรงเรียนแห่งที่หนึ่งคือโรงเรียนใกล้บ้านตน ซึ่งตนเป็นผู้ดำเนินการสมัครเรียนตามความรู้เห็นของต่าย แต่ปรากฎว่าหลังจากนั้นภรรยาในทะเบียนสมรสกลับไปสมัครเรียนให้ลูกในโรงเรียนแห่งที่2 ที่ใกล้บ้านต่าย ชุติมา จึงอยากให้ต่าย ชุติมา มาพูดคุยถึงเรื่องนี้ที่จะเกิดขึ้น

“ถ้าตกลงเรื่องการเลี้ยงลูกไปในทางเดียวกันได้จะดีมาก อย่างที่บอกผมยังอยากเป็นเพื่อนกับเขาอยู่ ยินดีที่จะดูแลลูกด้วยกัน แต่ถ้ามีกรณีที่เลี้ยงเดี่ยวผมก็ไม่มีปัญหา ”

หากถามว่ายังรักต่าย ชุติมา อยู่ไหม คำตอบที่ตนมีให้ก็คือ

“เรียกว่าเป็นความหวังดีให้กันดีกว่าครับ บทบาทสามีภรรยาคงยุติ ครอบครัวผมคงไม่แตกต่างไปจากครอบครัวอื่นที่เจอทางตัน แต่ยังยินดีที่จะเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือดูแลกัน แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับไปเป็นสามีภรรยากันอีก ”

ยืนยันเจตนาอีกครั้งว่าที่ออกมาแถลงทุกวันนี้ไม่ได้มาเพื่อแก้ตัว หรือเพิ่มความขัดแย้ง

“อยากบอกกับต่ายว่ามาคุยกันเถอะ ให้นึกถึงวันที่เริ่มรักกันใหม่ๆก็ได้ ไม่มีใครสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ทุกคนมีข้อดี พยายามพูดคุยกัน มันเป็นเรื่องของเราสองคนที่กระทบกับลูก มันไม่ใช่เรื่องของคนอื่นอีกแล้ว ลองมาพูดคุยกัน และเป็นเพื่อนกันกันได้ เราน่าจะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้  ”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image