เปิดชีวิตล่าสุด ชูษี เชิญยิ้ม เล่าเหตุผลต้องไปอาศัยอยู่วัด กับชีวิตที่เปลี่ยนเป็นคนละคน

เปิดชีวิตล่าสุด ชูษี เชิญยิ้ม ตลกดัง เล่าเหตุผลต้องไปอาศัยอยู่วัด กับชีวิตที่เปลี่ยนเป็นคนละคน

หายหน้าหายตาไปนาน สำหรับตลกชื่อดังของเมืองไทย อย่าง ชูษี เชิญยิ้ม ที่ผันตัวออกจากวงการบันเทิง ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงตาสินทรัพย์ หรือ พระสิ้นคิด วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี

ล่าสุด เหลือเฟือ ก็ได้เดินทางไปติดตามชีวิตล่าสุด พร้อมถามถึงเหตุผล ที่ออกจากวงการไปอยู่วัดถึงที่

ชูษี ย้อนเล่าเรื่องก่อนเข้าวงการไว้ว่า เป็นคนอยุธยา ลำบากตั้งแต่เด็ก มีพี่น้อง 6 คน เป็นคนโต เป็นคนลำบากตั้งแต่เด็กๆ แรกๆ เข้ามาวงการดนตรีลูกทุ่งตั้งแต่ปี 2516 เข้ากรุงเทพฯ ตอนนั้นอายุ 13 ปี มาเป็นนักร้อง เราประกวดร้องเพลงดี หน้าตาดี เขาเลยไปรับมา อยู่วงสัญญา พรนารายณ์ 2 ปี ก็ย้ายไปอยู่ ฉัตรทอง มงคลทอง ไปอยู่ใต้อยู่ 6 เดือน ก็ไปอยู่สายัณห์ โดนไล่ออก 4-5 ครั้ง เมา ก็ย้ายไปอยู่ศรชัย เมฆวิเชียร เป็นตัวตลก จากนั้นได้ไปเล่นคาเฟ่เต็มตัวปี 2526 และได้ไปอยู่เชิญยิ้ม ปี 2529 เราเข้าไปเป็นตัวที่ 6 และพอแตกก็ต่างคนต่างแยก ไปอยู่กับพี่ศรีหนุ่ม มาเป็นชูษี เชิญยิ้มปี 2533 ก็มีเท่ง โหน่ง

Advertisement

กระทั่งได้เจอกับหลวงตาสินทรัพย์ เมื่อปี 2565

ถึงตรงนี้ เหลือเฟือ ก็ได้ถามว่า หลายคนอยากรู้ มาอยู่ที่วัดนี้ ตกอับหรือ ชูษี ก็ให้คำตอบว่า จริงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่ หลวงตาถามผู้พิพากษา ที่แต่งเพลงให้ร้องว่า จะเอาชูษี มาร้องเพลงให้หลวงตา ผู้พิพากษาเขาสนิทกับพี่ แต่งเพลงดี ก็เสนอหลวงตา เขาก็บอกผู้พิพากษาว่ารู้จักเราเหรอ ไปเรียกมา เพราะรู้ว่าเขามีทุกข์อะไรในใจหลายเรื่อง พอมาเจอ ก็ฝากตัวเป็นศิษย์ ตอนนั้นยังไม่รู้จัก ก็คิดว่าอยากมาหา เขารู้จักเราได้ไง

Advertisement

“พอมาก็ธรรมดา ก็มานอนได้คืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็กลับกทม. เขาก็ถามว่าว่างไหม รับงานเท่าไหร่ ก็บอกคนเดียว 30,000 บาท เขาบอกให้ 50,000 ออกค่าเครื่องบินให้ด้วย เราก็บอกติดงาน ขึ้นป้ายแล้ว ถ้าไปเสียคนแน่ ก็ไปแคนเซิล แล้วก็มางานหลวงตา เพราะไม่รู้พระองค์นี้ยังไง แค่รู้สึกอยากใกล้ชิด”

“จากนั้นก็ซึมซับ มาอยู่ที 4-5 วัน บางครั้งมา ก็ร้องไห้ กราบลาหลวงตา ไม่รู้ทำไม หลวงตาบอกว่าไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ หลวงตาบอก ไม่อยากพูดอะไร พูดแล้วติดสัญญา เพราะจะเป็นภาพเก่า อดีตเก่าๆ เพราะหลวงตาบอกว่าจะไม่กลับมาเกิดแล้ว เขาพูดมีนัยยะอะไรไม่เข้าใจ บางคนอยู่ที่บารมี ก็คือนิสัย”

เหลือเฟือ ก็ได้ถามต่อว่า ทุกวันนี้ ดื่มไหม ซึ่ง ชูษี ก็ว่า ไม่ กัญชาไม่เอา สูบบุหรี่มีอยู่

“อยู่นี่ไม่ได้ทำอะไร บางทีก็กวาดพื้น ขัดห้องน้ำ จริงๆ ก็ไม่ได้อยู่เป็นที่ ตื่นเช้าก็บิณฑบาต กระบอกเสียงพุทธศาสนา เราก็ออกไปพูด ตามหลักของเรา”

“แต่ก่อนก็ไม่ได้สนใจเรื่องนรก แต่เชื่อไหม ตลก ทุกคนตกนรก ละครมันโกหก จริงบ้างไม่จริงบ้าง สร้างกามราคะให้คน มีกิเลส ยิงกัน แทงกัน เด็กจำ เนี่ย นรก ทำให้คนลุ่มหลง ตกนรกหมด”

ชูษี ยังว่า บุคลิกตัวตนเรา เหมือนเดิม เปลี่ยนไม่ได้หรอก จากขี้โมโห โมโหหิว ตอนนี้ก็ปักหลัก อยู่ที่นี่ ตั้งสัจจะกับหลวงตาไว้ ถ้าออกจากวัดต้องมี 50,000 เดี๋ยวจะหาว่าหยิ่ง หนังก็ได้ ละครก็ได้ มานั่งนึกว่า แสวงหาอะไรวะ 49 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่พอ เพราะกามราคะ อย่างตลก ทุกคนมีรายได้ แต่บางครั้งไม่อยากเป็นแบบ ทำงานแล้วตาย เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต แบบพี่หนุ่ม พี่ค่อม คนเรามันเครียด มันทุกข์ มานั่งคิด ข้าวมื้อหนึ่งก็อิ่มแล้ว จะดิ้นรนทำไม อยู่อย่างนี้ก็ใกล้ตาย เรา 63-64 แล้ว จะถึง 70 ไหม ถ้าตายพรุ่งนี้ทำยังไง ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ พวกตลกดังๆ ยังไม่รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร คนเรามองไม่เห็น พอนั่งปฏิบัติ แต่ก่อน 5-10 นาที อึดอัด หลังๆ ครึ่งชั่วโมง จิ๊บๆ ทำทุกวัน ไปไหนอยู่ที่ไหนก็ทำ อยู่บนรถก็ทำ ทำได้ทุกที่

“ชีวิตพลาดตั้งแต่ อ๊อด ปากดี คนก็ด่าเอาไอ้อ๊อดมาหากิน เอาเด็กติ๊งต๊องมาชุบมือเปิบ ดูตอนนี้ไอ้อ๊อด มีรถมีบ้าน ษี อยู่วัด ใครจะว่าเราตกกระป๋อง มาหากินกับพระ ก็ครับ ทุกอย่างยอมรับ จบที่เราเบาที่สุด กูไม่ตอบโต้มึง”

ถามว่ามาอยู่ที่วัดแล้วได้อะไร ชูษี บอกทิ้งท้ายว่า “ไม่ได้อะไรหรอก มารอความตาย อีก 6 ปี จะ 70 แล้ว”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image