เปิดใจ ‘หมิว ลลิตา’ กับการ ‘ล่า’ ที่แสนจะกดดัน

ห่างหายจากผลงานละครไปพักใหญ่ แต่การกลับมาครั้งนี้ของ หมิว-ลลิตา ปัญโญภาส เรียกว่าเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญ ในละครเรื่อง  ล่า กับบท  มธุสร  แม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องดูแลลูกสาวเพียงลำพัง แถมยังต้องมาเจอมรสุมที่ทำให้ชีวิตของเธอและลูกเปลี่ยนไปตลอดกาล

โดยหมิวได้เล่าถึงงานชิ้นนี้ว่า ตอนที่ได้รับการติดต่อครั้งแรกก็รู้สึกไม่แน่ใจ ว่าจะรับผิดชอบไหวไหม

“เพราะเป็นบทที่ยากพอสมควร แล้วพี่นก (สินจัย เปล่งพานิช) ก็ทำไว้ดีมาก” คือเหตุผล

กระทั่งได้รับคำชวนอีกครั้ง จึงตัดสินใจรับ

Advertisement

“ถือว่าเป็นเกียรติ แล้วก็เป็นโอกาสที่จะพัฒนางานของเราให้ดีขึ้นในบทที่มันยากๆ ขึ้น”

ดังนั้นการย้อนดู ‘ล่า’ ในเวอร์ชั่นก่อนหน้าทั้งที่เป็นละครซึ่งสินจัยแสดง รวมไปถึงภาพยนตร์ที่อรัญญา (นามวงษ์) ศิระฉายา เล่นเมื่อปี 2520 ก็เป็นการบ้านที่เธอทำ

อย่างไรก็ตาม แต่ว่าในเวอร์ชั่นนี้ หมิวบอกเลยว่าแตกต่าง เพราะทีมผู้ผลิตต้องการให้งานออกมาเป็นยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นการตีความในแง่มุมต่างๆ เลยทันยุคทันสมัย

Advertisement

“ไม่ว่าจะเรื่องของการข่มขืน การโซเซียลมีเดียทั้งหลาย ภัยต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราในสังคมปัจจุบันก็เอามาเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวในการล่าด้วย”

“มันก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่เราจะรู้ว่าสังคมเกิดอะไรขึ้นบ้างในปัจจุบันผ่านละคร”

เธอยังบอกด้วยว่าความยากในละครเรื่องนี้ แปรเป็นความกดดัน ตั้งแต่ตัดสินใจรับเล่น แต่เมื่อรับแล้ว “ก็พยายามให้เต็มที่”

ขณะเดียวกันก็ “อยากจะให้ดูพัฒนาการของตัวแสดงตัวนี้ในการล่าทรชนแต่ละคน ก็มีสเต็ปมากขึ้นๆ”

 

ส่วนจะอะไร ยังไง ขนาดไหน หมิวบอกยิ้มๆว่า “ไม่อยากจะสปอย ต้องไปดูเอง”

กับเรื่องที่มีคนห่วงว่าด้วยเนื้อหา ที่มีการข่มขืนเข้ามาเกี่ยว จะเป็นการแสดงให้เห็นความรุนแรงมากไปไหม หมิวก็บอกว่านั่นคือเรื่องราวความบกพร่องในสังคม ที่ยังมีอยู่จริงในปัจจุบัน

“เราก็เหมือนเอาความจริงนั้นมาเผยแผ่ให้เห็น เป็นสิ่งที่สะท้อนสังคมได้อีกมุม ว่ายังมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับผู้หญิงแล้วก็เด็ก”

ซึ่งเวลาที่เล่นไปตามบท เธอก็ยอมรับว่า บางครั้งใจคิดไปถึงคนที่ถูกกระทำ

เพราะขนาด ‘สวมบทบาท’ ยังรู้สึกแย่ แล้วสำหรับคนที่เจอเรื่องเลวร้ายอย่างนั้นจริง จะขนาดไหน

“เราอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการตีแผ่เรื่อง เป็นความบันเทิงที่สอดแทรกสังคมให้คนเห็น ให้ผู้ปกครองเห็น ว่ามีเหตุการณ์แบบนี้”

ในส่วนการแสดงฉากข่มขืนอันโหดร้ายนี้ หมิวที่แม้จะมีประสบการณ์ด้านการแสดงมาแล้ว 36 ปี บอกว่านี่เป็นหนึ่งเป็นฉากที่ยากที่สุด

“ใช้เวลาถึง 3 คืนนะสำหรับฉากนี้ฉากเดียวในการถ่ายทำ”

“เราต้องขึ้นไปบนตึก 6 ชั้น ซึ่งไม่มีห้องน้ำ เวลาจะเข้าก็ต้องเดินลงมาข้างล่าง คือเป็นตึกร้างจริงๆ”

ทั้งนี้การถ่ายทำฉากดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่  6 โมงเย็น แล้วนักแสดงทุกคนที่เป็นทรชนก็ส่งความแรงเวลาถ่ายซึ่งกันและกัน ช่วยกัน”

“แล้วทุกคนก็ให้เกียรติเรา” เธอเล่าพลางยิ้มอีก

และเมื่อถามถึง เซียงเซียง-พรสรวง รวยรื่น นักแสดงวัย 15 ปี ที่มารับบท  ผึ้ง  ลูกสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจของมธุสร หมิวบอกทันที

“เก่งสำหรับเด็กขนาดนี้ แล้วรับบทแบบนี้ ที่ค่อนข้างจะไกลตัว”

“เขามีสมาธิ มีความตั้งใจสูง มีความอดทนในการทำงาน สำหรับอายุเท่านี้ ก็ทำได้ดีทีเดียว”

นอกเหนือจากตัวบทที่ยากแล้ว อีกหนึ่งความยากที่หมิวบอกคือการแต่งหน้าเอฟเฟ็คต์ ซึ่งนอกจากจะใช้เวลานาน เพื่อให้ผลออกมาเป็นดังที่ตั้งใจของทีมแล้ว พอแต่งเสร็จ “บางทีแบบมันแน่นเกินไป แล้วมาอยู่บนหน้าเราตลอดเวลา”

ดังนั้นจึงพบกันครึ่งทางว่าอะไรที่จำเป็นต้องแน่น ก็แน่นไป แต่บางส่วนก็ขอแต่งเสริมเพื่อบรรเทา

“ยิ่งถ้าต้องใส่ชิ้นเนื้อ เปลี่ยนจมูกปลอม ทำเชฟของจมูกหรือคางที่ต่างกันออกไป ก็ยิ่งใช้เวลานาน เพราะต้องใช้กาวพิเศษในการติด แล้วกว่าจะเมคอัพ กว่าจะถ่ายทำเสร็จ ก็ประมาณ 2-3 ชั่วโมงอย่างต่ำ”

แต่ความลำบากเหล่านี้ “มันก็ช่วยให้การแปลงโฉมของมธุสรน่าเชื่อถือมากขึ้น คนจำไม่ได้ แล้วคนดูก็จะได้เห็นว่ามันต่างจากมธุสรที่มันเป็นปกติจริงๆ”

เมื่อถามถึงความคาดหวังกับงานยากๆชิ้นนี้ หมิวก็บอกว่า

“อยากให้ทุกคนได้ชม ได้เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และความเข้มข้น ความสนุก อรรถรสของละครก็เชื่อว่าใจต้องเต้นตลอดเวลาสำหรับเรื่องนี้”

ส่วนเรื่องรางวัลน่ะไม่ใช่เป้าหมาย เพราะแค่ได้ทำงานก็ฟินแล้ว

“เป้าหมายของเราคือได้พัฒนาฝีมือทางการแสดง ได้เล่นในบทประพันธ์ที่ดีๆ ได้งานที่ดีๆ ก็มีความสุขแล้ว”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image